ผ่านไปแล้วเกือบๆ สองไตรมาสนะครับสำหรับปี 2019 นี้ ช่วงเดือนมีนาคมเราได้ออกพอร์ต All Weather Strategy ถึงตอนนี้เป็นเวลาอันสมควรที่จะมาทบทวนสถานการณ์และผลการดำเนินงานของพอร์ต รวมถึงอัปเดตมุมมองการลงทุนครับ
ก่อนอื่นผมขอทบทวนแนวคิดหลักของพอร์ต All Weather Strategy ก่อน
All Weather Strategy สามารถสรุปรวมได้เป็น 3 ตัวอักษรหลักๆ คือ GLD
Global – ลงทุนทั่วโลก ไม่เฉพาะแค่ในประเทศไทย
Long-term – ได้ผลตอบแทนจากหุ้นระยะยาว ในขณะที่ลดความเสี่ยงของหุ้นบางส่วน
Diversified – กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ในสินทรัพย์ 4 ประเภท
ในบทความนี้ ผมจะขอเอ่ยถึง 5 เรื่องด้วยกัน ดังนี้ครับ
1. ทบทวนสถานการณ์: สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน – เงินไหลไปสู่แหล่งปลอดภัย
2. ผลการดำเนินงาน: All Weather Strategy สามารถเอาชนะหุ้นโลกได้
3. สัดส่วนการลงทุน: ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
4. มุมมองในอนาคต: จับตามองสหรัฐฯ
5. สรุป FVMR หุ้นแต่ละภูมิภาค
1. ทบทวนสถานการณ์: สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน – เงินไหลไปสู่แหล่งปลอดภัย
ช่วงไตรมาส 1 ของปี 2019 นี้ มูลค่าของหุ้นได้เพิ่มสูงขึ้น ส่วนวงจรอัตรากำไรสุทธิก็เริ่มใกล้จุดสูงสุด ทำให้เราเริ่มระวังการลงทุนในหุ้น ดังนั้น พอร์ต All Weather Strategy ของเราจึงเพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้และทองคำ ตั้งแต่นั้นมา สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ยังคงดำเนินต่อไป ตัวอย่างล่าสุดคือกรณีการแบน Huawei ที่สร้างความกระวนกระวายไปทั่วตลาดสินค้าอิเล็กโทรนิกส์ของเอเชีย
การขึ้นดอกเบี้ยครั้งก่อนของ Fed และความผันผวนของตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้เงินทุนไหลกลับไปยังสหรัฐฯ หนุนให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ แข็งต่อไป ส่วนความกังวลต่อการเติบโตที่ช้าลงของสหรัฐฯ ก็ถูกสะท้อนให้เห็นผ่านความคาดหวังที่ต่ำลงต่อเงินเฟ้อ และ Fed ก็อาจจะต้องลดดอกเบี้ยลง
ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2019 แนวโน้มของสินค้าโภคภัณฑ์เป็นขาขึ้น แต่พอมาช่วงไตรมาส 2 ก็ลดลง ราคาน้ำมัน ถ่านหิน และโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างปรับตัวลง แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์และความคาดหวังต่อการเติบโตที่อ่อนแอลง
2. ผลการดำเนินงาน: ตั้งแต่จัดตั้งมา All Weather Strategy สามารถเอาชนะหุ้นโลกได้
รูปที่ 1: ผลการดำเนินงาน: ตั้งแต่จัดตั้งมา All Weather Strategy สามารถเอาชนะหุ้นโลกได้ (ที่มา: A.Stotz Investment Reseach, Refinitiv)
ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ตั้งแต่จัดตั้งมา พอร์ต All Weather Strategy ถือสัดส่วนหุ้นอยู่ 45%
สัดส่วนการถือหุ้นที่น้อยกว่านั้นส่งผลดีเพราะช่วยลดผลขาดทุนลงเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนแค่หุ้นอย่างเดียว
2.1 ผลการดำเนินงาน: เราถือสัดส่วน 50% ในสินทรัพย์ 2 ชนิดที่ทำผลงานได้ดีที่สุด จากทั้งหมด 3 ชนิด
รูปที่ 2: ผลการดำเนินงาน: เราถือสัดส่วน 50% ในสินทรัพย์ 2 ชนิดที่ทำผลงานได้ดีที่สุด จากทั้งหมด 3 ชนิด (ที่มา: A.Stotz Investment Reseach, Refinitiv)
ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
All Weather Strategy: เอาชนะหุ้นโลกไป 1.3%
ตราสารหนี้: เป็นที่ปลอดภัยในขณะที่ความผันผวนของหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
สหรัฐฯ: ได้รับเงินทุนไหลเข้าจากเอเชียและตลาดเกิดใหม่
ทองคำ: ราคาอ่อนลง แต่ยังอยู่เหนือเส้น moving average ของ 50 วัน และ 200 วัน
2.2 ผลการดำเนินงาน: มีความผันผวนเกือบๆ ครึ่งหนึ่งของหุ้นโลก
รูปที่ 3: ผลการดำเนินงาน: มีความผันผวนเกือบๆ ครึ่งหนึ่งของหุ้นโลก (ที่มา: A.Stotz Investment Reseach, Refinitiv)
All Weather Strategy: มีความผันผวนเพียงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับหุ้นโลก
ตราสารหนี้: คือตัวหลักที่ทำให้พอร์ต All Weather Strategy มีความผันผวนต่ำ
S&P500: ผันผวนน้อยสุดในกลุ่มตลาดหุ้น
ทองคำ: ผันผวนน้อยกว่าหุ้นนิดหนึ่ง
3. สัดส่วนการลงทุน: ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
รูปที่ 4: ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน (ที่มา: A.Stotz Investment Reseach, Refinitiv)
พอร์ต All Weather Strategy ไม่มีการปรับสัดส่วนจากของเดิม
มูลค่าของหุ้นยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง ความผันผวนของตลาดเกิดใหม่ส่งผลให้เงินทุนไหลกลับไปยังตลาดพัฒนาแล้วกับตลาดสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน เราก็ยังคงสัดส่วนตราสารหนี้และทองคำไว้ เพื่อช่วยจำกัดการขาดทุน
4. มุมมองในอนาคต: จับตามองสหรัฐฯ
– ประเด็นเรื่องพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และค่าเงิน ซึ่งเป็นผลดีต่อทองคำ แต่เป็นความเสี่ยงสำหรับตลาดสหรัฐฯ
– เศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ มีทั้งความเสี่ยงที่ Fed อาจจะลดอัตราดอกเบี้ย และการกลับตัวของ Yield Curve
– ดีโมแครตไม่น่าจะเสนอวาระอธิปรายเกี่ยวกับการได้คะแนนเสียงของทรัมป์ในรัฐสภา
– อาเซียนคือแหล่งปลอดภัย (safe haven) เพราะมีความผันผวนน้อยกว่าภูมิภาคอื่น
5. สรุป FVMR หุ้นแต่ละกลุ่มประเทศ
รูปที่ 5: สรุป FVMR หุ้นแต่ละกลุ่มประเทศ (ที่มา: A.Stotz Investment Reseach, Thomson Reuters)
พื้นฐาน (Fundamentals): สหรัฐฯ มี ROE (Return on Equity) สูงที่สุด
มูลค่า (Valuation): ตลาดเกิดใหม่มี PE (Price to Earnings) ต่ำสุด ส่วนญี่ปุ่นมี PB (Price to Book) ต่ำสุด
แนวโน้ม (Momentum): ราคาและกำไรโตค่อนข้างช้า
ความเสี่ยง (Risk): ญี่ปุ่นมีหนี้สินต่อทุนน้อยที่สุด
สรุปผลการดำเนินงานของพอร์ต
– สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลร้ายต่อตลาดเกิดใหม่
– All Weather Strategy สามารถเอาชนะหุ้นโลกในแง่ผลตอบแทนและความผันผวนได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสัดส่วนตราสารหนี้และหุ้นสหรัฐฯ ที่สูง
– ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนสินทรัพย์ เรายังคงระมัดระวังการลงทุนในหุ้น และคอยจับตามองเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดครับ
**สนใจลงทุนพอร์ต All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย Andrew Stotz ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจดูข้อมูลและลงทุนในพอร์ตนี้ สามารถคลิกที่นี่ https://www.finnomena.com/port/andrew/ หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลยครับ
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต / ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้