คอนเซปต์หลักพอร์ต All Weather Strategy (AWS)
- Global: ลงทุนทั่วโลก ไม่เฉพาะไทย
- Long-term: สร้างผลตอบแทนระยะยาว และจำกัดการขาดทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐาน
- Diversified: กระจายการลงทุนทั่วโลกใน 4 สินทรัพย์
ผลการดำเนินงาน AWS
- รีวิว: การชะลอการขึ้นดอกเบี้ยทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น
- ผลงาน: AWS ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับพอร์ต 60/40
- น้ำหนัก: 25% ในแต่ละสินทรัพย์
- มุมมอง: ธนาคารกลางกำลังขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อ โดยการเกิดภาวะ stagflation (เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจชะงักงัน) เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้
- ความเสี่ยง: เงินเฟ้อควบคุมได้ นโยบายการเงินทำให้ตลาดหุ้นปรับลงอย่างรุนแรง และเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ
รีวิว: ผลตอบแทนของดัชนีต่าง ๆ ทั่วโลก
- ตลาดสหรัฐฯ ฟื้นตัว
- ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว รวมถึงตลาดหุ้นฮ่องกงที่ฟื้นตัวอย่างมาก
- ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัว มากกว่าตลาดสหรัฐฯ
อัปเดต: ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนพฤศจิกายน
อัปเดต: ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนพฤศจิกายน
อัปเดต: ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนพฤศจิกายน
- FED ECB และ BOE ต่างขึ้นดอกเบี้ย75%
อัปเดต: ครัวเรือนเริ่มใช้เงินเก็บเพื่อรองรับค่าสินค้าบริการที่แพงขึ้น
- ในระยะต่อไป เราน่าจะเห็นการอุปโภคบริโภคที่ลดลง
อัปเดต: สงครามในยูเครนสามารถเกิดเหตุบานปลายได้ง่าย
- ตอนแรกมีรายงานว่าโปแลนด์ซึ่งเป็นสมาชิกนาโต (NATO) ถูกโจมตี
- ภายหลังมีรายงานเพิ่มเติมว่า เป็นยูเครนที่ยิงมิสไซด์เพื่อป้องกันตัวเองจากการโจมตีของรัสเซีย
อัปเดต: ปัญหาของแพลตฟอร์ม FTX ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency)
- ปัญหาของ FTX อาจทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในตลาดหุ้นไปด้วย
อัปเดต: คนจีนเริ่มประท้วงในวงกว้าง
- หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของพรรคคอมมิวนิสต์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
- หรือว่าผู้คนแค่โกรธและเบื่อกับการปิดเมือง
อัปเดต: เมื่อยุโรปต้องการหาแหล่งพลังงานอื่นนอกจากรัสเซีย ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เริ่มหายากขึ้น
- ตลาดก๊าซธรรมชาติยังมีความผันผวนมาก สังเกตจากราคาก๊าซในยุโรปที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
อัปเดต: น้ำมันดิบในคลังสำรองสหรัฐฯ เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- การทยอยใช้น้ำมันดิบในคลังสำรองทำให้พรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงวุฒิสภาได้ และเสียที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรน้อยกว่าที่คาด
- ถ้าสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มระดับน้ำมันดิบในคลังสำรอง อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จากความต้องการที่มากขึ้น
อัปเดต: ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มสะสมทองคำ หรือว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดยุคดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อสรุปที่สำคัญ
- ธนาคารกลางยังเร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
- สงครามในยูเครนสามารถบานปลายได้ง่าย
- คนจีนประทวงรัฐบาล
- ราคาก๊าซธรรมชาติยังค่อนข้างตึงตัว
- ธนาคารกลางเริ่มเก็บสะสมทองคำ
น้ำหนักการลงทุนก่อนหน้า: เราให้น้ำหนักการลงทุน 25% ในแต่ละสินทรัพย์
รีวิว: หุ้นโลกปรับตัวลงในปี 2022 แต่ปรับตัวขึ้นในเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน
- หุ้นโลกปรับตัวขึ้น 0% ในปี 2021 แต่ตั้งแต่ต้นปี 2022 ปรับตัวลง 14.6%
- ตลาดปรับตัวขึ้น เพราะความหวังว่าธนาคารกลางจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
รีวิว: หุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้น 4.5% ในเดือนพฤศจิกายน 2022
- เราให้น้ำหนัก 5% ในหุ้นสหรัฐฯ
- การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะผ่อนคลายท่าทีลง ทำให้หุ้นฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รีวิว: หุ้นยุโรปทำผลงานได้ดีเป็นอันดับ 3 โดยปรับตัวขึ้น 8.7% ในเดือนพฤศจิกายน
- เราให้น้ำหนัก 5% ในหุ้นยุโรปกลุ่มพัฒนาแล้ว
- การฟื้นตัวของหุ้นยุโรปก็มาจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางจะชะลอความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ยลง
รีวิว: ตลาดเกิดใหม่ทำผลงานได้ดีเป็นอันดับ 2 โดยปรับตัวขึ้น 12.1% ในเดือนพฤศจิกายน
- เราให้น้ำหนัก 5% ในหุ้นตลาดเกิดใหม่ ซึ่งทำผลงานได้ดีเป็นอันดับ 2
- การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการคาดการณ์การเปิดเมืองของจีน ทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
รีวิว: หุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่นทำผลงานได้ดีที่สุด โดยปรับขึ้น 15.2% ในเดือนพฤศจิกายน
- เราให้น้ำหนัก 5% ในหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น
- หุ้นจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ทำผลงานได้ดี
รีวิว: ตลาดญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทนได้แย่ที่สุดในเดือนตุลาคม แต่ยังปรับตัวขึ้น 2.8%
- เราให้น้ำหนัก 5% ในหุ้นญี่ปุ่น
- หุ้นญี่ปุ่นฟื้นตัวจากความคาดหวังของการผ่อนคลายท่าทีของ FED
รีวิว: ตลาดตราสารหนี้ปรับขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2022
- เราให้น้ำหนัก 25% กับตราสารหนี้ไทย (แทนที่จะเป็นตราสารหนี้ต่างประเทศ) ซึ่งทรงตัวในช่วงที่ผ่านมา
- วัตถุประสงค์หลักของการลงทุนในตราสารหนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดขาลง
รีวิว: ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ผลตอบแทน 2.6% ในเดือนพฤศจิกายน 2022
- เราให้น้ำหนัก 25% กับสินค้าโภคภัณฑ์
รีวิว: น้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัวเล็กน้อย โดยราคาปิด ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
รีวิว: สินแร่สร้างผลตอบแทนดีที่สุดในเดือนพฤศจิกายน
- การคาดการณ์การเปิดเมืองของจีน และการอ่อนตัวของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ราคาสินแร่อุตสาหกรรม และสินแร่มีค่าปรับตัวเพิ่มขึ้น
รีวิว: ทองคำปรับตัวขึ้น 6.1% ในเดือนพฤศจิกายน
- เราให้น้ำหนัก 25% ในทองคำ
- ราคาทองคำอยู่ที่ 1,768 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
- การอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น
รีวิว: ความอ่อนแอของผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำมีส่วนสำคัญจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และจะให้ผลตรงกันข้าม หากดอลลาร์อ่อนตัว
- เสมือนว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นคู่แลกเปลี่ยน โดยการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำต่ำลงในรูปเหรียญสหรัฐฯ
- และหมายความว่า ผลตอบแทนของทองคำ ขึ้นอยู่กับเงินสกุลท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย
รีวิว: มีเพียงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับราคาทองคำในปี 2022
- ราคาทองคำแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่น ๆ ยกเว้น เงินบาท ในเดือนพฤศจิกายน
รีวิว: AWS ทำผลงานเหนือกว่าพอร์ต 60/40 เมื่อนับตั้งแต่ก่อตั้ง
- ตั้งแต่ตั้งพอร์ต AWS ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพอร์ต 60/40 อยู่ 3% ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2022
เดือนพฤศจิกายน 2022: AWS สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับพอร์ต 60/40
- รีวิวผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่เราให้น้ำหนัก 25%
- สินค้าโภคภัณฑ์: ทำผลงานได้ดี แต่ต่ำกว่าหุ้น
- พันธบัตร: ผลงานทรงตัว แต่ถือว่าทำผลงานได้แย่กว่าหุ้นที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
- ทองคำ: ทำผลงานได้ดีเป็นอันดับ 4
รีวิว: AWS สร้างผลตอบแทนได้ดี
- AWS ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพอร์ต 60/40 ในช่วงเวลาส่วนใหญ่
- ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย แต่ถือว่าทำผลงานได้ดีในเดือนพฤศจิกายน 2022
รีวิว: AWS มีความผันผวนต่ำกว่าพอร์ต 60/40
- สัดส่วนการลงทุนในหุ้น 25-65% ช่วยลดความผันผวน
- ทองคำช่วยลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ต เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับหุ้น
รีวิว: AWS ขาดทุนน้อยกว่าพอร์ต 60/40 9 ครั้งจาก 10 ครั้งในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมากที่สุด
- จุดเด่นสำคัญของ AWS คือ การจำกัดการขาดทุนเมื่อตลาดหุ้นโลกปรับตัวลง
- นับตั้งแต่จัดตั้ง AWS ขาดทุนน้อยกว่าพอร์ต 60/40 อยู่ 9 วันถ้านับจากใน 10 วันที่หุ้นโลกทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุด
รีวิว: AWS ทำผลงานเหนือกว่าพอร์ต 60/40 ใน 60% ของเดือนทั้งหมด
- AWS สามารถสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าพอร์ต 60/40 ใน 27 เดือนจาก 45 เดือน
น้ำหนัก: เราให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้น 25% โดยแบ่งเป็น 5% ในแต่ละภูมิภาค
มุมมอง: ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลงมา แต่เงินเฟ้อยังคงสูง
- น้ำมันเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการเกษตร การผลิต และการคมนาคม
- ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาอาจช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อ หรือทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงได้
- อย่างไรก็ดี เรากลับพบว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้น
มุมมอง: อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐฯ เริ่มต่ำลงแล้ว
- ราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งจะทำให้ความต้องการลดลง
- ฐานเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จะแสดงระดับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
- ดังนั้น เงินเฟ้ออาจเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว แม้ว่าธนาคารกลางยังไม่ได้เข้าแทรกแซง
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 3 เดือนปรับตัวสูงขึ้นเป็น 4.3% จาก 1.5% ในปีที่ผ่านมา
- อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเร็วกว่าผลตอบแทนพันธบัตร
- เราคาดหวังว่าธนาคารกลางจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อ เพราะดูเหมือนว่ายังชะลอเงินเฟ้อไม่ได้
มุมมอง: ประธาน FED มุ่งมั่นที่จะหยุดยั้งเงินเฟ้อ
- “แม้ว่าสิ่งที่เราทำ เริ่มเห็นผลตามที่เราคาดหวังไว้ แต่เรายังคงต้องทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจต่อไป และจะทำต่อเนื่องจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ”
- “เราไม่มีความคิดที่จะทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ และกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง”
- “เราจะต้องสร้างเสถียรภาพในตลาดแรงงาน และทำให้อัตราเงินเฟ้อเข้าสู่ระดับ 2% โดยเราจะชะลออัตราการเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงาน แต่เราจะไม่ทำให้คนตกงาน”
- รวม ๆ แล้ว แปลความได้ว่า ประธาน FED ส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไป
มุมมอง: ตลาดมองว่าเงินเฟ้อจะเข้าสู่ภาวะปกติ
- อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์สหรัฐฯ 10 ปี อยู่ที่ 4% ส่งสัญญาณว่าตลาดคาดว่า FED จะควบคุมเงินเฟ้อได้
- ถ้าการคาดการณ์เงินเฟ้อต่ำกว่าความจริง จะทำให้ราคาหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำปรับตัวขึ้น
มุมมอง: ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดูเหมือนว่าจะสูงที่สุดแล้ว
- ถ้าราคาน้ำมันไม่ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแล้ว เราคาดว่า CPI น่าจะผ่านจุดที่สูงที่สุดแล้ว
- แต่ว่าราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง น่าจะทำให้ราคาอาหารและสินค้าอื่น ๆ ทรงตัวในระดับสูง ทำให้ไม่น่าจะเห็นการปรับตัวลงของ CPI อย่างรวดเร็วภายใน 2-3 เดือนหน้า
มุมมอง: เงินเฟ้อในยุโรปน่าจะยังไม่สูงที่สุด ทำให้ ECB ต้องดำเนินนโยบายแบบเข้มงวดต่อ
- ถ้าปัจจัยอื่นไม่เปลี่ยนแปลง เงินยูโรน่าจะแข็งค่ากว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
- แต่การขึ้นดอกเบี้ย น่าจะทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว ซึ่งในทางกลับกันจะกดดันค่าเงินยูโร
มุมมอง: การขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมได้ถูกตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว (priced in)
- ตลาดมั่นใจ 100% ว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป
- โดยเชื่อมั่น 77% ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย5% เข้าสู่ระดับ 4.25-4.50%
มุมมอง: การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นที่เร็วที่สุดตั้งแต่ช่วง 1980
- ในการขึ้นดอกเบี้ยปี 2004 ดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นรวม 25%
- ในการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ ดอกเบี้ยปรับขึ้นแล้ว 75%
มุมมอง: ตั้งแต่เดือนมีนาคม ตลาดคาดว่า FED จะดำเนินนโยบายเข้มงวดมากขึ้น
- ตลาดเชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายจะสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2023
- FED กำลังสู้กับเงินเฟ้ออย่างเข้มข้น แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง
มุมมอง: ตลาดเชื่อว่าดอกเบี้ยสูงสุดสุดท้ายจะอยู่ที่ระดับ 5% ในเดือนพฤษภาคม 2023
- ปัจจุบันตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสุดท้ายจะเกิดขึ้นในช่วงมีนาคม 2023 ถึงกรกฎาคม 2023 โดยความน่าจะเป็นสูงที่สุด น่าจะเกิดที่เดือนพฤษภาคม 2023
มุมมอง: นับตั้งแต่ช่วงปี 1980 โดยเฉลี่ยแล้ว FED จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงที่สุดประมาณ 6 เดือน
- ในช่วงวิกฤต dotcom FED คงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงที่สุดเป็นระยะเวลา 8 เดือน ในขณะที่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ FED คงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงที่สุดเป็นระยะเวลา 15 เดือน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด
- จากสถิติ หากเป็นไปตามค่าเฉลี่ย คาดว่า FED จะกลับทิศนโยบายในเดือนกันยายน 2023
มุมมอง: ตลาดมองว่า FED เข้มงวดด้านนโยบายการเงินมากที่สุด และ BOE จะเข้มงวดในระดับเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2023
- ดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำกว่าของ ECB และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทำให้เชื่อว่าเงินยูโร และเงินเยนจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
มุมมอง: การกลับทิศของกราฟอัตราส่วนผลตอบแทนพันธบัตร (inverted yield-curve) รุนแรงขึ้น
- ตั้งแต่ปี 1970 inverted yield-curve จะเกิดขึ้นก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- หลังจากเกิด inverted yield curve จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยเฉลี่ยภายใน 1 ปี (ประมาณกลางปี 2023)
มุมมอง: จับตาดูความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตร (yield spread)
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แตกต่างกันมากขึ้น แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้น ให้คุ้มค่ากับความเสี่ยง
มุมมอง: หุ้นมีการประเมินมูลค่าที่น่าสนใจมากขึ้น โดยมาจากราคาที่ต่ำลงเป็นสำคัญ
- มูลค่าหุ้นโลกที่ถูกประเมินไว้ปรับตัวต่ำลงมากว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย
- แม้ว่าอัตราการทำกำไรจะต่ำกว่าเดิม แต่ว่ายังไม่มีการปรับประมาณการอัตราการทำกำไรลงอย่างมีนัยสำคัญ
มุมมอง: ความเห็นตลาดยังมองว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น
- นักวิเคราะห์เชื่อว่ากำไรของบริษัทจะเติบโต 6% ในปีหน้า และจะเติบโตมากขึ้นเป็นลำดับ
- อัตราการเติบโตจะต่ำลงในปี 2023 และจะอยู่ในระดับ 10% ในปี 2024
มุมมอง: ความเห็นตลาดยังมองว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น
- นักวิเคราะห์เชื่อว่ากำไรของบริษัทจะเติบโต 6% ในปีหน้า และจะเติบโตมากขึ้นเป็นลำดับ
- อัตราการเติบโตจะต่ำลงในปี 2023 และจะอยู่ในระดับ 10% ในปี 2024
มุมมอง: สำหรับภูมิภาคอื่น ๆ คาดว่าอัตราการทำกำไรจะลดลงในปี 2023
- แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แต่ว่ายังมีการเติบโตของกำไร (การเติบโตไม่ติดลบ)
- นักวิเคราะห์ค่อนข้างกังวลกับบริษัทในสหรัฐฯ ทั้งนี้ นักลงทุนมักจะมองโลกในแง่ดีกว่าความเป็นจริง และไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดทันท่วงที
มุมมอง: อัตราเงินเฟ้อในยุโรปพุ่งสู่ระดับสูงสุดที่ 10.6% ในเดือนตุลาคม
- เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังพุ่งต่อเนื่อง เราเชื่อว่า ECB จะดำเนินนโยบายแบบตึงตัวต่อไป
- ถ้า ECB เลียนแบบ FED (ลดความเข้มข้นของนโยบายลง) อาจทำให้เงินยูโรอ่อนค่า และกลุ่มยุโรปขาดดุลการค้ามากขึ้น
- อย่างไรก็ดี ยุโรปมีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยอาจเพิ่มความเสี่ยงดังกล่าวมากขึ้นอีก
มุมมอง: ยังไม่มีการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว (QT) เท่าไรนัก
- ธนาคารกลางเริ่มให้พันธบัตรหมดอายุ ทำให้งบดุลไม่โตขึ้นแล้ว
- งบดุลของ BOJ โตขึ้นเล็กน้อยในเดือนตุลาคม
มุมมอง: เราเชื่อว่าธนาคารกลางจะกลับทิศนโยบายในอนาคต
- ธนาคารกลางสื่อสารว่าจะควบคุมให้เงินเฟ้อลดลง และนักลงทุนดูเหมือนว่าจะเชื่อเช่นนั้น
- เราเชื่อว่าธนาคารกลาง และนักการเมืองพร้อมที่จะเปลี่ยนนโยบาย หากมีความเสียหายเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ
- และเราเชื่อว่าสิ่งที่ธนาคารกลางทำกำลังจะทำให้เกิดความเสียหายกับเศรษฐกิจ
มุมมอง: ธนาคารกลางอาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจสิ้นสุด แต่กลับไม่สามารถหยุดเงินเฟ้อได้ และเราคาดว่าจะเกิดภาวะ stagflation
- ถ้าธนาคารกลางชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถหยุดเงินเฟ้อได้ จะเกิดภาวะ stagflation
- ภาวะ stagflation ส่งผลเสียต่อหุ้นและพันธบัตร
- สินค้าโภคภัณฑ์มักสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเงินเฟ้อ และทองคำมักสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วง stagflation
- เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนสูง เราจำกัดการลงทุนในหุ้น
มุมมอง: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีบทบาทมากต่อตลาดการเงินโลก
- เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเหมือนสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยและการทำ QT จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นอีก
- เราเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นต่อความเสี่ยงได้ดีกว่าตลาดหุ้นอื่น
- เรายังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นในแต่ละภูมิภาคเพียง 5% เนื่องจากเราเชื่อว่าตลาดหุ้นยังอ่อนแอ
มุมมอง: ECB ก็ต้องสู้กับเงินเฟ้อเช่นกัน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยพร้อม ๆ กัน
- ราคาพลังงานที่สูงขึ้นจะกดดันการบริโภค และการผลิต
- เราคงน้ำหนัก 5% ในการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปกลุ่มพัฒนาแล้ว
มุมมอง: การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลลบต่อตลาดเกิดใหม่
- การขึ้นดอกเบี้ยของ FED น่าจะทำให้เงินเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่า สภาพคล่องในระบบลดลง และทำให้ตลาดเกิดใหม่ได้รับผลกระทบเชิงลบได้
- เงินเหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ซึ่งนักลงทุนอาจใช้พักเงินในช่วงที่สถานการณ์โลกมีความไม่แน่นอนสูง
มุมมอง: การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีนยังเป็นข้อกังวล
- การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้การชำระหนี้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของประเทศในเอเชียทำได้ยากขึ้น เนื่องจากจะต้องใช้เงินสกุลท้องถิ่นมาแลกมากขึ้น
- เรายังไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัว
- ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ครองอำนาจอีกครั้ง และการควบคุมเงินเฟ้อของรัฐบาลอาจกดดันภาคเศรษฐกิจและรายได้ของบริษัท ตลอดจนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (zero-covid policy) ยังไม่ได้ถูกยกเลิก และยังมีการประท้วงของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
มุมมอง: หุ้นจีนยังคงกดดันผลตอบแทนหุ้นตลาดเกิดใหม่ และตลาดเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น
- หุ้นจีนน่าจะยังคงกดดันผลตอบแทนหุ้นตลาดเกิดใหม่ และตลาดเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นต่อไป
- เราให้น้ำหนัก 5% ในหุ้นตลาดเกิดใหม่ และ 5% ในหุ้นตลาดเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น
มุมมอง: เงินเยนน่าจะอ่อนค่าต่อไป
- BOJ ยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำ และคาดหวังว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น
- เราให้น้ำหนัก 5% ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
มุมมอง: เราให้น้ำหนัก 25% ในพันธบัตร
มุมมอง: พันธบัตรยังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย แม้ว่าในปี 2022 จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแย่
- ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล มักให้ผลตอบแทนดี
- อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ต่ำ อาจทำให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (real return) ติดลบ
- เราไม่ได้ใช้พันธบัตรในการเก็งกำไร เพื่อสร้างผลตอบแทน แต่เรามองว่าพันธบัตรสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ดี
มุมมอง: เราให้น้ำหนักสินค้าโภคภัณฑ์ที่ 25%
มุมมอง: ตลาดคาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวของยุโรป
- ราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
- ยุโรปยังต้องพึ่งพาก๊าซจากรัสเซีย และถ้าอากาศเย็นลง ปริมาณก๊าซสำรองอาจลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาปรับตัวขึ้น
มุมมอง: ปัจจัยพื้นฐานยังสนับสนุนราคาน้ำมัน
- กลุ่ม OPEC+ ผลิตได้ไม่เป็นไปตามเป้า และมีการลดกำลังการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันน่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป
- สงครามในยูเครนน่าจะก่อให้เกิดปัญหาด้านอุปทานต่ออีกระยะหนึ่ง
- ราคาพลังงานน่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป จากการลงทุนที่ไม่เพียงพอในโครงการใหม่ ๆ
มุมมอง: อุปทานสำหรับสินค้าทางการเกษตรอาจตึงตัวมากขึ้นอีก
- นอกจากพลังงานแล้ว รัสเซียยังเป็นผู้ส่งออกโลหะอุตสาหกรรมหลายชนิด รวมถึงรัสเซีย และยูเครนยังเป็นผู้ส่งออกสำคัญของสินค้าทางการเกษตร
- ลานีญ่า (La Nina) อาจทำให้อุปทานสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และแป้ง ลดลง ซึ่งลานีญ่านี้เองทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป เกิดพายุรุนแรง และความแห้งแล้ง ซึ่งผลกระทบอาจแตกต่างกันตามภูมิภาค
มุมมอง: ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลต่อราคาอาหาร แต่ราคาธัญพืชฟื้นตัวได้เล็กน้อย
- ก๊าซธรรมชาติใช้ในการทำปุ๋ย และราคาที่เพิ่มขึ้นของปุ๋ยทำให้เมล็ดพันธุ์ต้องปรับราคาขึ้นตามไปด้วย
- เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติต่ำลง บริษัทผลิตปุ๋ยอาจกลับมาผลิตปุ๋ยอีกครั้ง
- ข้าวโพดถูกใช้เป็นอาหารของสัตว์ ซึ่งราคาข้าวโพดที่แพงขึ้นทำให้ราคาเนื้อสัตว์ปรับขึ้นตาม
มุมมอง: ดัชนีราคาอาหารโลกปรับขึ้นสูงที่สุดในเดือนมีนาคม 2022 ที่ 160 และปัจจุบันอยู่ที่ 136 ในเดือนตุลาคม 2022
- การห้ามการส่งออกอาหารของบางประเทศทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น
- ราคาน้ำมันพืชและธัญพืชที่ปรับตัวลงทำให้ดัชนีราคาอาหารปรับตัวลง
- ราคาเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนมอยู่ในระดับเดียวกับเดือนมีนาคม 2022
มุมมอง: ราคาสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะยังปรับขึ้นต่อได้
- การฟื้นตัวของความต้องการ (อาหารและพลังงาน) ภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับสงครามจะผลักดันให้สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น
- การเปิดเมืองอีกครั้งของจีนจะทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น
- ถ้าเกิดภาวะ stagflation คาดว่าสินค้าโภคภัณฑ์จะสร้างผลตอบแทนได้ดี
มุมมอง: เราให้น้ำหนักทองคำที่ 25%
มุมมอง: ทองคำจะเป็นเหมือนหลักประกันป้องกันความเสี่ยง
- สงครามในยูเครนทำให้เกิดความไม่แน่นอน ผลักดันความคาดหวังอัตราเงินเฟ้อ ทำให้สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ได้รับความสนใจมากขึ้น
- อย่างไรก็ดี ความคาดหวังการขึ้นดอกเบี้ย อาจกดดันราคาทองคำ
- โดยทั่วไป ทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลงได้
สรุป FVMR แต่ละภูมิภาค
- พื้นฐาน (Fundamentals): หุ้นสหรัฐฯ มีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ROE (Return on Equity) สูงที่สุด
- มูลค่า (Valuation): หุ้นตลาดเกิดใหม่มี PE (Price-to-Earnings) ต่ำที่สุด และหุ้นญี่ปุ่นมี PB (Price-to-Book) ต่ำที่สุด
- แนวโน้ม (Momentum): หุ้นญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา
- ความเสี่ยง (Risk): หุ้นเอเชียแปซิฟิก และหุ้นญี่ปุ่น มีอัตราหนี้สินต่อทุน (Gearing) ต่ำที่สุด
ความเสี่ยง: เงินเฟ้อถูกควบคุมได้อย่างรวดเร็ว
- ถ้าธนาคารกลางสร้างความแปลกใจให้กับตลาดด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง พร้อมกับการดึงสภาพคล่องออกจากตลาด อาจจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรง
- เราไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นมาก หากธนาคารกลางปรับเปลี่ยนนโยบาย และหุ้นปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้เราเสียโอกาสบ้าง
- เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแออาจลดความต้องการของสินค้าโภคภัณฑ์ กดดันทำให้ราคาต่ำลงได้
- ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นอาจปรับตัวลงพร้อมกับราคาพลังงาน เนื่องจากพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการผลิต
ข้อสรุปที่สำคัญ
- AWS สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับพอร์ต 60/40 ในเดือนพฤศจิกายน 2022
- ธนาคารกลางกำลังขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อ โดย stagflation เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้
- ความต้องการสินค้าจำเป็น (อาหารและพลังงาน) ภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะทำใหราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น
- พันธบัตรและทองคำใช้ในการลดความเสี่ยง
- ความเสี่ยง: เงินเฟ้อควบคุมได้ นโยบายการเงินทำให้ตลาดหุ้นปรับลงอย่างรุนแรง และเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ
Andrew Stotz
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน All Weather Strategy สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >>แอปฯ FINNOMENA
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ FINNOMENA
**All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย Andrew Stotz ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-andrew-all-weather-create/ หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลยครับ
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”