ผมมักถูกถามอยู่เนือง ๆ ว่าทำไมไม่ไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีบริษัทที่โดดเด่นระดับโลกมากมายที่น่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่เป็นหุ้นที่ผมชอบลงทุน คำตอบของผมมีหลายข้อซึ่งมักจะรวมถึง ความจริงที่ว่า มันเป็นตลาดที่ผมไม่มีความรู้มากพอในการที่จะเลือกหุ้นลงทุน จริงอยู่ ผมก็อาจจะมีความคิดอยู่บ้างเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเหล่านั้นผลิตและขายให้กับคนทั่วโลกรวมถึงผม แต่เมื่อเทียบกับคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนมืออาชีพทั่วโลกแล้ว ผมก็เป็น “หมู” ดี ๆ นั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ผมชอบแข่งในตลาดที่ผมมีความรู้และความสามารถมากกว่าคนอื่นเช่นในตลาดที่กำลังพัฒนามากกว่า ประเด็นต่อมาก็คือ ตลาดหุ้นที่วอลสตรีทนั้น ผมคิดว่ามันเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก นั่นก็คือ ราคาหุ้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีราคาที่เหมาะสม เป็นเรื่องยากมากที่จะหาหุ้นราคาถูกซื้อแล้วกำไรงดงาม การที่เราจะสามารถลงทุนแล้วทำผลตอบแทนดีกว่าตลาดหรือดัชนีในระยะยาวเป็นไปได้ยาก
แต่คนก็มักจะสงสัยว่าสิ่งที่ผมพูดข้างต้นอาจจะไม่ถูกในโลก “ยุคใหม่” เหตุผลก็คือ คนที่ไปลงทุนซื้อหุ้นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ในตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือที่ทำมาแล้วหลาย ๆ ปี ต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นต่างก็ขึ้นไปสูงมากและว่าที่จริงมันก็สูงลิ่วมาเป็นสิบปีแล้ว ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่อง ฟลุ๊กหรือบังเอิญ เพราะเทคโนโลยีจะเป็นเรื่องของชีวิตในอนาคตของคนทั้งโลก การลงทุนถือหุ้นเหล่านั้นยาวนานน่าจะเป็นวิธีที่จะให้ผลตอบแทนสูงและมีความมั่นคงและมันเป็นการลงทุนตามหลักการของ Value Investing อย่างแน่นอน คนที่ไม่ยอมลงทุนในหุ้นเหล่านั้นในที่สุดก็จะ “แพ้” เพราะหุ้น “ยุคเก่า” นั้น นับวันจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็เริ่มลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่ ไอบีเอ็ม และล่าสุดก็คือหุ้นแอปเปิล
ผมเองไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา ผมได้อ่านงานวิจัยของ GOBankingRates ซึ่งแสดงผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นยักษ์ใหญ่ที่เป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ของตลาดหุ้นอเมริกาที่เราคุ้นเคยกว่าสิบบริษัท เพื่อแสดงว่าถ้าเราซื้อหุ้นลงทุนย้อนหลังไป 10 ปี เราจะได้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละกี่เปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่าน่าสนใจและมันอาจจะเป็นบทเรียนที่ดีได้
หุ้นตัวแรกก็คือ หุ้นแอปเปิล
“สุดยอดหุ้น” ที่กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในวันนี้ ถ้าเราลงทุนซื้อหุ้นเมื่อสิบปีที่แล้วและถือมาจนถึงวันนี้ ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นของเราจะเท่ากับปีละ 24.32% เงิน 1,000 เหรียญจะกลายเป็น 8,818 เหรียญ หรือเงินโตขึ้นเกือบ 9 เท่าในเวลา 10 ปี นี่สำหรับผมแล้วก็เป็นเรื่อง Surprise! หรือความผิดคาด เพราะผมเองเคยตั้งเกณฑ์ว่าหุ้นที่จะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” นั้น จะต้องโตขึ้นอย่างน้อย 10 เท่าในเวลา 10 ปี หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 26% และก็เคยแสดงให้เห็นว่าในตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น มีหุ้นแบบนี้กว่า 10 ตัว ดังนั้น ถ้าถือตามเกณฑ์นี้ หุ้นแอปเปิลก็ไม่ถึงจุดที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
หุ้นตัวที่สองคือหุ้น NETFLIX
ที่กำลังโด่งดังจากการให้บริการภาพยนตร์ซีรีผ่านโปรแกรม Streaming แบบบอกรับเป็นสมาชิก ถ้าเราลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่บริษัทยังเล็ก เงิน 1,000 เหรียญจะกลายเป็น 69,835 เหรียญ หรือโตขึ้น เกือบ 70 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีถึง 52.9% อย่างไรก็ตาม คงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักสำหรับเราที่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักบริษัทเลยเมื่อ 10 ปีก่อนที่จะเข้าไปเลือกหุ้นตัวนี้ได้ถูกต้องเมื่อเทียบกับหุ้นแอปเปิลที่ดังมากแล้วตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน
หุ้นตัวที่สามคือหุ้นกูเกิล
ที่หลายคนบอกว่าไม่มีใครทาบได้ในแง่ความสามารถในการแข่งขัน 10 ปีที่ผ่านมาเงิน 1,000 เหรียญโตขึ้นเป็นเพียง 2,940 เหรียญ ให้ผลตอบแทนเพียงปีละ 11.39% ซึ่งน่าจะน้อยยิ่งกว่าซื้อกองทุนรวมอิงดัชนีในตลาดหุ้นไทย และนี่ก็คือการลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่และโด่งดังมากจนคนรู้จักไปทั่วโลกแล้ว
ตัวที่ 4 คือหุ้นวอลท์ดิสนีย์
หุ้นธุรกิจยุคเก่าที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมานาน เงิน 1,000 เหรียญกลายเป็น 3,273 หรือให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 12.59% นี่ก็เป็นผลงานที่น่าทึ่งมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบริษัทสื่อจำนวนมากที่ต้องล้มหายตายจากไป
ตัวที่ห้าคือ โค๊ก
หุ้นหลักเก่าแก่ตัวหนึ่งของบัฟเฟตต์ที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นโตขึ้นจาก 1,000 เป็น 2,095 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนปีละแค่ 7.68% พอ ๆ กับดัชนีตลาดหุ้น S&P ของสหรัฐ ดูเหมือนว่าโค๊กอาจจะกำลังกลายเป็น “อดีต” ซุปเปอร์สต็อกตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ตัวที่ 6 คือหุ้นวอลมาร์ท
ที่กำลังต้องต่อสู้กับการถูก Disrupted หรือทำลายโดย E-Commerce ช่วง 10 ปี เงิน 1,000 ที่ลงทุนในหุ้นวอลมาร์ท ก็ยังโตขึ้นเป็น 2,158 เหรียญ หรือได้ผลตอบแทนปีละ 8% แบบทบต้น และนี่ก็อาจจะแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของอดีตซุปเปอร์สต็อกที่ “ตายยาก” หรืออาจจะตายอย่างช้า ๆ มีเวลาให้คนขายหุ้นได้ทัน
ตัวที่ 7 คือไมโครซอฟท์
“ยักษ์ดิจิตอล” ที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่ง เงินลงทุน 1,000 เหรียญในช่วง 10 ปีโตขึ้นเป็น 2,893 เหรียญ ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 11.21% ไม่โดดเด่นมากแต่ก็ไม่เลวนักสำหรับหุ้นยักษ์ที่คนถือแล้ว “สบายใจ” เพราะยังไงเสียไม่มีใครมาแทนวินโดว์ได้
ตัวที่ 8 คือหุ้น ไนกี้
ที่เป็นหุ้น “ยุคเก่า” ที่นักลงทุน “New Gen” อาจจะเบือนหน้าหนีเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ถ้าลงทุน เงิน 1,000 เหรียญจะกลายเป็น 4,091 เหรียญ หรือได้ผลตอบแทน “สุดยอด” ถึงปีละ 15.13% แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปี
ตัวที่ 9 คือหุ้น GE
บริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่และ “เปลี่ยนโลก” เข้าสู่ยุคเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้วถ้านักลงทุนคิดว่ามันจะ “กลับมา” ยิ่งใหญ่ หรือคิดว่าราคาหุ้น “ถูกมาก” พวกเขาก็คิดผิด เพราะเงิน 1,000 เหรียญจะเหลือเพียง 857 เหรียญ ใน 10 ปี หรือขาดทุนเฉลี่ยปีละ1.52%
ตัวที่ 10 คือหุ้น อเมซอน
ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวันและกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนจำนวนมากในโลก เมื่อ 10 ปีที่แล้วที่บริษัทกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วแต่ขาดทุนอย่างหนักคงมี VI จำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถจะลงทุนกับบริษัทที่มี Market Cap. สูงลิ่วแต่ไม่มีกำไรได้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผิด เพราะ เงินลงทุน 1,000 เหรียญโตขึ้นเป็น 12,246 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 28.47% ใน 10 ปี ถือว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกอย่างสมบูรณ์
ตัวที่ 11 คือหุ้นไฟเซอร์
หุ้นยาที่เป็นเมกาเทรนด์แห่งอนาคต แต่ถ้าใครลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เงิน 1,000 เหรียญก็โตขึ้นเป็นเพียง 1,772 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนปีละ 5.89% บางทีนี่อาจจะไม่ใช่บริษัทที่จะเป็นผู้ชนะในธุรกิจแห่งอนาคตก็เป็นได้ เหนือสิ่งอื่นใด มันใหญ่มากอยู่แล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ตัวที่ 12 คือหุ้นแม็คโดนัลด์
หุ้นอาหารที่ดิจิตัลไม่สามารถทำลายมันได้ เงินลงทุน 1,000 เหรียญ เติบโตขึ้นเป็น 3,836 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 14.39% ในเวลา 10 ปี และนี่ก็คือหุ้นอาหารที่ให้ผลตอบแทนสูงและ “ไม่เสี่ยง” ในยุคดิจิตอล
หุ้นตัวสุดท้ายก็คือ…
หุ้นที่ไม่สนกระแสของดิจิตอลนั่นก็คือหุ้น สตาร์บักส์ ที่กลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในสายตาของคนจำนวนมาก จากสินค้าพื้น ๆ ที่ “ทุกคนทำได้” เงิน 1,000 เหรียญที่ลงทุนกับบริษัทกลายเป็น 4,283 เหรียญ หรือให้ผลตอบแทนปีละ 15.66% ในเวลา 10 ปี
ข้อสรุปที่เป็นภาพใหญ่ที่สุดของผมจากผลตอบแทนของ “หุ้นยักษ์” ในตลาดหุ้นอเมริกาก็คือ มันไม่สามารถโตเร็วมากเท่ากับซุปเปอร์สต็อกในตลาดที่กำลังพัฒนาได้แม้ว่ามันกำลังจะ “ครองโลก” ดังนั้น หากจะลงทุนหุ้นซุปเปอร์สต็อกระดับโลกเพื่อหวังผลตอบแทนสูง ๆ เราคงจะต้องรู้ก่อนที่บริษัทเหล่านั้นจะดังและใหญ่คับฟ้าแล้ว อย่างเช่นหุ้น NETFLIX เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นต้น