เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย ที่ไหน ก็ไม่ดีไปกว่าบ้านเรา

เนื่องในโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 23 ปี ไปแบบสดๆร้อนๆ ผมจึงขอโอกาสเขียนถึงเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย ในมุมมองของนักลงทุนอิสระที่รักการลงทุนและชื่นชอบการเก็งกำไรในสไตล์ผมซะหน่อย

ผลตอบแทนที่ดี 

ลองสังเกตกันดีๆไม่ว่าปีไหนก็ตาม ตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจของประเทศภาพรวมจะดีหรือแย่ เราก็จะยังคงมีหุ้นบางส่วนที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกไปจนถึงบวกมากๆอย่างโดดเด่น

หรือที่เราเรียกว่า “Super Stock” ที่ให้ผลตอบแทนเป็นเด้งๆอยู่เสมอ

และนี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดให้คนพร้อมใจกันเข้ามาในตลาดหุ้นนั่นเอง

มีสภาพคล่องที่ดี (Liquidity) 

ข้อดีประการหนึ่งของตลาดหุ้นก็คือ “สภาพคล่อง”

นักลงทุนสามารถดึงเงินเข้าออกได้ตลอดเวลาตามแต่ที่ต้องการ ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆที่เงินอาจจะจมนานหรือซื้อง่ายขายยากนั่นเอง แน่นอนว่าส่วนตัวผมแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีและเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอหุ้นที่ไม่ดีนั่นเอง

เจอหุ้นดีสภาพคล่องดี นักลงทุนก็สบายใจไร้กังวล

เจอหุ้นแย่สภาพคล่องไม่ดี นักลงทุนก็อาจจะแย่เอาได้

ไม่มีเวลาเฝ้าจอหุ้นก็ลงทุนได้ไม่ยากกับ “กองทุนรวม”

สำหรับนักลงทุนที่อาจจะมีงานประจำ ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมากนัก

ก็ยังมีกองทุนรวม ที่ลงทุนในหุ้นและดัชนี เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ที่เราสามารถซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้น

ซึ่งมีข้อดีคือ แต่ละกองทุนรวมหุ้นนั้น มีนโยบายหลากหลายในการลงทุน ทั้งในหุ้นกลุ่ม SET50 Index, Small-mid cap, Large cap รวมไปถึงรายหมวดอุตสาหกรรม

การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” โดยหลักๆจะมี 2 ประเภท คือ  

“กองทุนปิด” ที่เป็นกองทุนที่ไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะครบกำหนดอายุกองทุนรวม

“กองทุนเปิด” เป็นกองทุนที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามโครงการฯ

กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทยมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบ passive หรือ active นักลงทุนควรเลือกให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนที่ต้องการ แถมนักลงทุนยังสามารถเลือกระดับ “ความเสี่ยง” ได้ตามที่นักลงทุนต้องการ

ไม่ว่าจะชอบเสี่ยงมากหรือน้อย กองทุนรวมจะนำเงินของกองทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ต่างกันแล้วแต่นโยบายของกองทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากธนาคาร พันธบัตร ไปจนถึง หุ้น

แถมยังเอาไป “ลดหย่อนภาษี” ได้อีกด้วย (สำหรับผู้ที่ซื้อกอง LTF และ RMF)  อันนี้ถูกใจมนุษย์เงินเดือนแน่นอนครับ

ข้อสำคัญในการเลือกกองทุนรวม นักลงทุนไม่ควรเชื่อแค่ผลตอบแทนในอดีต ควรดูประวัติผู้จัดการกองทุนไปจนถึงทีมงาน รวมถึงความเสี่ยงด้วยครับ เพราะบางครั้งกองทุนบางประเภทก็มีความเสี่ยงสูงซึ่งอาจจะทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนได้เช่นกัน

ไม่มีเงินก้อนใหญ่ก็ลงทุนได้ 

การลงทุนต้องใช้เวลา ยิ่งเริ่มลงทุนได้เร็ว ยิ่งได้เปรียบ ถึงจะมีเงินน้อย ก็อย่าได้ดูหมิ่นเชียว

ปัญหาคือนักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่าต้องใช้เงินเยอะ เลยไม่ได้เริ่มลงทุนซักที

การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA (dollar-cost averaging) นักลงทุนต้องลงทุนในจำนวนเงินที่เท่าๆกัน จะจำนวนมากหรือน้อยก็ได้ แต่ต้องลงทุนเป็นประจำและสม่ำเสมอ

ตามระยะเวลาที่นักลงทุนกำหนดไว้ จะเป็นสัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง หรือเดือนละสองครั้งก็ได้

นักลงทุนสามารถทำ  DCA ได้ทั้งในหุ้นและกองทุนรวมครับ 

แต่ก่อนที่จะทำ  DCA นักลงทุนควรศึกษาและพิจารณาเลือกบริษัทหรือกองทุนที่จะลงทุนให้ละเอียดถี่ถ้วนน่ะครับ

สิ่งสำคัญคือ “ทำให้เป็นวินัย” แบ่งเงินจากรายได้ประจำของคุณในแต่ละเดือน ออกมาลงทุนแต่ละเดือนอย่างสม่ำเสมอ

การลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยจะทำให้เรามีเวลาที่เงินเติบโตทบต้นนานขึ้น ยิ่งลงทุนได้เร็วและถูกวิธีการ เงินก้อนสุดท้ายในอนาคตก็จะยิ่งเติบโตมหาศาล ในฐานะที่ผมเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนที่สนใจการลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงาน จนถึงปัจจุบันที่ลาออกมาทำงานเป็นฟูลไทม์เทรดเดอร์เต็มตัวนั้น ผมกล้าที่จะพูดได้เลยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมีความรู้และถูกวิธี สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อเนื่องแน่นอน ยิ่งถ้านักลงทุนมีความรู้เรื่องการลงทุนในกองทุนรวมแล้วด้วย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนได้ด้วยเช่นกัน

สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการซื้อกองทุน LTF/RMF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีนั้น ผมแนะนำให้หาจังหวะทยอยซื้อเรื่อยๆมากกว่าการซื้อครั้งเดียวครับ ยิ่งช่วงดัชนีหุ้นเจอการปรับฐานแรงๆแล้ว ยิ่งเป็นจังหวะดีในการเข้าทยอยซื้อครับ แล้วคุณจะประหลาดใจกับผลตอบแทนที่คุณได้รับจากการลงทุนในกองทุนในระยะยาวครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น นักลงทุนต้องคำนึงเสมอว่า…

การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจครับ

-Wizard Kid-