ช่วงนี้จะเห็นหลายคนเริ่มหันมาสนใจการลงทุนในสกุลเงินดิจิตอลด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน บางคนมองเสมือนลงทุนแห่งอนาคต บางคนมองเป็นการกระจายความเสี่ยง บางคนมองว่ามันกำลังจะถูกกฏหมายในหลายประเทศ และจะใช้แพร่หลายในที่สุด
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านักลงทุน “ทุกคน” สนใจเพราะราคาของสกุลเงินดิจิตอลปรับตัวสูงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ สกุลเงินฮอตที่สุดอย่าง Bitcoin ปรับตัวขึ้นจากเริ่มต้นที่ราคาไม่ถึงหนึ่งเหรียญสหรัฐในปี 2010 มาที่ถึงสองพันกว่าเหรียญในปัจจุบัน เทียบเป็นการเติบโตเกิน 100% ต่อปีต่อเนื่องเกือบ 10 ปี ไม่แปลกที่เงินดิจิตอลจะถูกยกให้เป็นการลงทุนที่เพอร์เฟคในระดับหนึ่งในอดีต ใครรู้ก่อน ซื้อก่อน ก็รวยก่อน
แต่ในปัจจุบัน เลี่ยงไม่ได้เช่นกันที่จะบอกว่าตลาดเงินดิจิตอลเข้าสู่ภาวะ “ฟองสบู่” เต็มรูปแบบแล้ว นอกจากการเก็งกำไร หรือเอาไปแลกกลับมาเป็นสกุลเงินจริง มีน้อยคนมากที่จะออกมาให้ข้อมูลว่าเงินดิจิตอลนั้นเอาไปทำอะไรได้มากกว่าเงินปรกติ หรือควรมีราคาเท่าไหร่ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่คนอยากซื้อเงินดิจิตอลทุกคนควรทำความเข้าใจมากที่สุด
ในมุมมองการเงิน ผมค่อนข้างสนใจกับการตีมูลค่าสินทรัพย์และมองว่าเราสามารถใช้ทฤษฏีการเงินมาวิเคราะห์ความน่าสนใจของเงินดิจิตอลนี้ได้
ตัวอย่าง Bitcoin ถ้าไม่นับการเก็งกำไร ก็พอมีพื้นฐานการทำรายได้มี 3 ทางหลักด้วยกัน แบบแรกเราสามารถเอาเหรียญที่เรามีไปฝากกับเวปไซต์ e-wallet (เช่น Bsave) ซึ่งจะมีผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 1-2% ต่อปี แบบที่สองคือเอาเหรียญไปปล่อยกู้ (เช่น POLONIEX) สามารถตั้งดอกเบี้ยและระยะเวลาได้เอง ซึ่งมีคนอยากกู้อยู่ที่ 9-10% และสุดท้ายเอาเงินไปฝากลงทุนต่อแบบไม่มีการันตี (เช่น Bitbays) ให้ผลตอบแทนประมาณ 10-12%
ดูอย่างนี้ Bitcoin เรียกว่าเกือบเพอร์เฟค สามารถทำรายได้มากกว่าผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทางการเงินทั่วไป ไม่แปลกที่จะมีคนสนใจ
แต่ถ้าเราพลิกมามองด้านความเสี่ยง Bitcoin มีความผันผวนสูงถึง 60% ต่อปี แปลว่าง่ายมากที่การลงทุนจะได้กำไรเป็นเท่าตัวหรือหมดตัวได้ในเวลาสั้น ๆ ความผันผวนระดับนี้ถือว่าไม่ปรกติและสูงกว่าสินทรัพย์การเงินทุกอย่างในโลก มากกว่าความผันผวนของดอลลาร์ถึง 10 เท่า เสี่ยงกว่าตลาดหุ้นไทยหรือทองคำถึง 6 เท่า และผันผวนแซงตลาดหุ้นที่เหวี่ยงมากสุดในปีนี้อย่างบราซิลและอาเจนติน่าไปถึง 3 เท่า
สรุปได้ว่า Bitcoin ไม่ใช่การลงทุนที่พื้นฐานแย่ แต่เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ต้องรับจริงอาจไม่ได้ดีกว่าการลงทุนปรกติไปมากนัก เทียบผลตอบแทนต่อความเสี่ยงการลงทุน Bitcoin จะมีค่าเท่ากับการลงทุนเงินดอลลาร์ที่มีผลตอบแทนประมาณ 2% หรือซื้อทองและลุ้นให้ราคาขึ้นถึง 7-10% ต่อปี หรือซื้อหุ้นไทยรับปันผลและลุ้นราคาปรับตัวขึ้นอีกซัก 4-5%
สุดท้ายในมุมของการประเมินราคา เมื่อโยนระดับความเสี่ยงของ Bitcoin กลับเข้าไปเทียบบน Efficient Frontier จะพบว่าราคา Bitcoin ที่ 1,500 ดอลลาร์ในปีนี้ คือราคาที่ค่อนข้างเหมาะสมกับความเสี่ยง เป็นคำถามกลับมาว่าราคาปัจจุบันเป็นราคาที่แพงเกินพื้นฐานไปแล้วหรือไม่
ถึงตรงนี้ ถามว่าเงินดิจิตอลมีอะไรดีบ้าง ตอบไม่ยากครับ
“ความเปิดกว้างแต่เป็นส่วนตัว” ยังเป็นจุดเพอร์เฟคที่นักลงทุนทั้งโลกโหยหาและไม่มีทางที่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ไหนสามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย ๆ
ในอนาคตก็คงยังไม่มีธนาคารกลางหรือรัฐบาลไหนเข้าไปกำกับดูแล คนถือส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปจึงจะไม่ก่อปัญหาวงกว้าง แม้ธนาคารกลางต่าง ๆ อาจยอมรับเงินดิจิตอลมากขึ้น แต่เชื่อว่าทุกที่จะยังเป็นมองเป็นเพียง “สินค้า” อย่างหนึ่งมากกว่าเงินสกุลใหม่ ซึ่งก็หมายความว่าฟองสบู่เงินดิจิตอลนี้จะมีต่อไปเรื่อย ๆ ถึงฟองสบู่ Bitcoin แตกก็เชื่อว่าจะมีเหรียญอันใหม่เกิดขึ้นมาอีกมากในอนาคต
สิ่งสำคัญที่อยากฝากให้นักลงทุนทุกคนคิดก่อนที่จะลงทุนไปกับอะไรซักอย่างคือ “เราได้อะไรจากการลงทุน และคุ้มไหมที่จะลงทุน” คิดเสมอว่าคงมีน้อยคนที่อยากซื้อสินทรัพย์ต่อจากเราทั้งที่รู้ว่าของนั้นไม่มีทางสร้างผลตอบแทนและไม่มีทางคืนเงินต้นให้ได้ แม้ว่าราคาของสินทรัพย์นั้นจะปรับขึ้นไปสูงเท่าไหร่จริงไหมครับ
สกุลเงินดิจิตอลมีอนาคตที่เพอร์เฟคหรือต่ำตมจึงไม่อยู่ที่มูลค่าของเหรียญจะไปเท่าไหร่ แต่อยู่ที่การวัดมูลค่าของเหรียญทำได้อย่างไรมากกว่าครับ