wizzardkid-trader-talk-ep-2

“ ชีวิตเทรดเดอร์นี้ดีเนอะ…ตื่นสายได้ ชิลได้ ไม่ต้องตอกบัตรทำงาน อยากนั่งเทรดที่ร้านกาแฟ เทรดริมสระน้ำ หรือเคาะหุ้นไป ฟังเสียงทะเล ดูหนุ่มล่ำ สาวเซ็กซี่ใส่บิกินี่เพลินๆ โอ๊ย ชีวิตแบบนี้มันน่าอิจฉาจริงๆ เทรดแป๊บๆได้กำไร สบายๆ”

เชื่อแน่ว่าหลายๆ คนรวมถึงตัวผมเองย่อมเคยคิดแบบนี้มาแล้วก่อนที่จะมาเป็น full-time trader โดยเฉพาะตัวผมเองนี่ เมื่อก่อนคิดแบบนี้เลยครับ

คิดเสมอว่าเป็นเทรดเดอร์…แล้วเราต้องเท่ห์แน่ๆเลย ไปไหนพกไอแพด นั่งเคาะแป๊บๆ มีกำไรให้ใช้ตลอดทั้งเดือนทั้งปี

คิดเสมอว่าเป็นเทรดเดอร์…อยากเที่ยวก็เที่ยว อยากตื่นสายก็ทำ ไม่อยากเฝ้าจอก็ไปเดินเล่นห้าง ดูหนัง ฟังเพลง ส่องสาวตามงานโชว์ต่างๆ ดึกๆก็ไปเที่ยวผับตระเวนราตรี กลับถึงบ้านตีสองตีสาม ตื่นมาเคาะหุ้น ต๊อกๆแต๊กๆ ได้กำไร ก็นอนพัก แล้วก็ทำแบบ (ที่คิดในฝัน) ซ้ำไปซ้ำมา โอ๊ย! ชีวิตดี๊ดี

…เลิกคิดไปได้เลย! ตื่นเว้ยเฮ้ย!! โลกความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย…

ชีวิตของเทรดเดอร์อิสระ มันยากตั้งแต่คุณจะลาออกจากงานที่คุณรับเงินเดือนประจำอยู่ มาทำงานอีกแบบที่คุณไม่มีรายได้ตายตัวต่อเดือน อันนี้คือความยากอย่างแรกที่คุณต้องเจอ เอาง่ายๆเลยถามตัวเองก่อนว่า รายจ่ายต่อเดือนมีเยอะแค่ไหน มีหนี้มีสินติดตัวมากน้อยเพียงใด แล้วเดือนนึงเราต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ถึงจะพอค่าอยู่ค่ากินของตัวเราเอง

…ถ้าถามตัวเองแล้วได้คำตอบว่า…รายจ่ายมากกว่ารายรับค่อนข้างเยอะ

ผมก็อยากจะแนะนำว่า ให้ทำงานประจำไปก่อน พร้อมกับแบ่งเงินบางส่วนจากเงินเดือนมาอดออม มาลงทุนในหุ้น ย้ำว่า ลงทุนน่ะครับ ไม่ได้ให้มาเล่นหุ้น!

..แต่ถ้าคุณตอบตัวคุณเองได้ว่า…รายจ่ายน้อยกว่ารายรับเยอะ แถมหนี้สินไม่ติดตัว แล้วคุณมั่นใจว่าคุณมีความรู้พอที่จะเทรดทำกำไรจากตลาดหุ้นได้

…ก็ไม่ผิดแต่ประการใด ที่จะก้าวออกมาทำอาชีพ full-time trader ครับ…

แต่ช้าก่อน….มันก็ไม่ง่ายอีก เพราะสิ่งที่เทรดเดอร์คนไทยส่วนใหญ่จะเจอก็คือ “ครอบครัว” ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้คุณออกมาหารายได้จากการเทรดหุ้นแบบเต็มเวลา อันนี้คือด่านที่ยากที่สุดครับ ซึ่งก็สอนกันไม่ได้จริงๆว่าใครจะฝ่าด่านอรหันต์พ่อติแม่ด่าได้อย่างไรบ้าง

บอกครอบครัวก่อนออกมาลุย

ส่วนตัวผมนั้น ก็เจอเหตุการณ์ “ป๊าม๊าไม่ค่อยเห็นด้วย” อยู่นิดหน่อยครับ เนื่องจากก่อนหน้านี้ เงินเดือนตอนทำอาชีพ prop. trade ก็เฉลี่ยราวๆ หกหลักต่อเดือนอยู่แล้ว ก็ไม่ผิดที่ป๊าม๊ารวมถึงคนอื่นๆในครอบครัวจะมีทักท้วงบ้างว่า รายได้ก็โอเคอยู่แล้ว จะเสี่ยงออกมาเทรดเองทำไม ซึ่งผมก็ให้เหตุผลคร่าวๆดังนี้

  • เก็บเงินจากเงินเดือนและการลงทุนได้ก้อนนึงราวๆเจ็ดหลักกลางๆ ซึ่งก็คิดว่าเงินก้อนนี้สามารถเลี้ยงชีพผมเองได้แน่ๆ
  • มั่นใจในความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากอาชีพ prop. trade ว่าจะทำให้เอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้
  • อยากจะปั้นพอร์ทหุ้นของตัวเองแบบจริงๆจังๆ อยากมีอนาคตทางการเงินที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชีวิตตัวผมเอง แต่รวมไปถึงทุกคนในครอบครัวด้วย
  • อายุยังไม่มาก ถ้าล้ม ถ้าผิดพลาด ก็ยังพอมีลู่ทางกลับไปทำอาชีพเดิมได้อยู่ (ข้อนี้สำคัญมาก ถามตัวเองทุกครั้งน่ะครับว่าเรามีความสามารถพอที่จะล้มแล้วกลับไปทำงานประจำแบบเดิมได้อีกรึเปล่า อย่างน้อยก็เซฟๆตัวเองไว้หน่อยก็ดีครับ)

…โชคดีที่ป๊าม๊าเป็นคนที่เลี้ยงลูกแบบเพื่อน และเชื่อมั่นในตัวลูกพอสมควร ท่านเลยยอมให้ผมออกมาตามล่าฝันของตัวผมเอง จนมีอย่างวันนี้ได้ครับ

สร้างวินัยการเทรดนอกเวลาเทรด

จะเป็นเทรดเดอร์ที่ดี วินัยการเทรดรวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคุณเองต้องดี
ช่วงแรกของการเป็นเทรดเดอร์ คือการที่คุณต้องทุ่มเทระดับ 120% ของชีวิตคุณกับการเตรียมพร้อม การหาความรู้ การสร้างวินัยความพร้อมทั้งกายและใจ

ลองคิดแบบนี้น่ะครับ… ทำไมนักกีฬามืออาชีพถึงมีเส้นแบ่งแยกอีกระหว่าง

…มืออาชีพทั่วไปกับมือระดับโลก..

แน่นอนสิ่งที่เราทำอยู่เราเรียกว่าอาชีพ แต่ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในอาชีพที่ทำ เราก็ต้องเรียนรู้จากมือระดับโลก

เทรดเดอร์อาชีพก็เช่นกัน…ไม่ใช่สักแต่เทรดไปวันๆเท่านั้น แน่นอนว่าสิ่งที่คุณต้องทำช่วงในช่วงเวลาการเทรด คือการตัดสิ่งรบกวนออกจากชีวิตคุณให้ได้ ต้องมีโฟกัสอยู่ที่จอเทรดและข้อมูลข่าวสารในแต่ละวันที่จะมีผลต่อการตัดสินใจของตัวคุณเอง

หลังเวลาตลาดหุ้นปิด ตรงนี้ก็สำคัญไม่ต่างกัน คุณต้องออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 40-90 นาที เพื่อเป็นการเคลียร์ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการเทรดในแต่ละวันไม่ว่าจะดีหรือแย่ให้ออกจากหัวให้หมด ง่ายๆคือ ทำอะไรก็ได้ที่เคลียร์เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งวัน ออกจากหัวคุณสักชั่วโมงนึง ผมว่ามันช่วยให้คุณเทรดได้ขึ้นจริงๆน่ะ

ช่วงก่อนนอนก็สำคัญ…มันคือช่วงเวลาของการทำการบ้าน (อย่าคิดไปหื่นไกลน่ะ) การบ้านหุ้น ส่วนตัวผม เวลาก่อนนอนจะแบ่งเป็นสองช่วงครับ

ช่วงแรก คือ การทำการบ้านหาหุ้นใส่ในรายการหุ้นที่เราชอบ หรือ watch list นั่นเอง ตรงนี้ถ้าแรกเริ่มใหม่ๆ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาค่อนข้างมากในการคัดสรรหาหุ้น แต่เมื่อผ่านไปสักระยะ ประสบการณ์เริ่มเยอะ ระยะเวลาตรงนี้จะน้อยลงไปเองครับ แต่ควรน้อยลงอย่างมีประสิทธิภาพด้วยน่ะ

ช่วงที่สอง คือ พยายามอ่านหนังสืออะไรก็ได้ จะเกี่ยวกับหุ้นหรือไม่ก็เกี่ยวก็ได้ ตรงนี้ก็สำคัญ เพราะการอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย แต่ถ้าได้อ่านบ่อยๆ คำพูดบางประโยคในหนังสือบางเล่ม บางทีมันก็ปลดล็อคความคิดบางอย่างของคุณได้ ชีวิตของหลายๆคนเปลี่ยนไปเพราะการอ่านหนังสือน่ะครับ อ่านเยอะๆไม่มีคำว่าเสีย มีแต่ได้มากหรือได้น้อยแค่นั้นเอง