ถ้าแก้ไม่ได้ ก็อย่ามาบอกว่าตัวเองเป็น “นักลงทุน” (แก้อะไรหว่าาาา??)
ผมเชื่อว่าไม่มีนักลงทุนทั้งหน้าใหม่หรือหน้าเก่าคนไหนไม่รู้วิธีทำกำไรจากตลาดหุ้น!!
เพราะหลักการง่าย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนประเภทไหน คุณก็ต้อง “ซื้อถูก ขายแพง” ก็แค่นั้นเอง
ถ้าคุณเป็น Value Investor (VI) คุณก็ต้องพยายามมูลค่าที่แท้จริง เพื่อเลือกหุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่า และเข้าซื้อตอนที่มันยังถูกอยู่ เพื่อไปขายตอนที่ราคามันเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือถือไปนั้นหล่ะจนกว่าจะสูญเสียศรัทธาในตัวบริษัท
ถ้าคุณเป็นพวก Trend Follower วิ่งไปตามแนวโน้ว คุณจนต้องไม่สนว่าราคาตอนนั้นมันถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับอะไรก็ตาม ที่คุณสนคือ เมื่อมีเงินก้อนใหญ่มาซื้อ เราก็ว่าวิ่งไปตามแนวโน้มที่กำลังก่อตัว และขายเมื่อแนวโน้มนั้นเปลี่ยนไป
ถ้าคุณเป็นนักเทคนิค (Technical Analysis) คุณจะซื้อเมื่อสัญญาณซื้อเกิด และขายเมื่อสัญญาณขายโผล่มาแทน
จะเห็นว่า ไม่ว่าเราเป็นนักลงทุนประเภทไหน ทุกคนต่างเล็งเป้าหมายเหมือนกัน นั้นก็คือ
“ซื้อถูก ขายแพง”
หลักการลงทุนทั้ง 3 สไตล์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้รวมกันได้ไหม?
คำตอบคือ ได้! แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ และความชำนาญ ซึ่งไม่ยากเกินความสามารถของใคร
3 ข้อต่อไปนี้ คือ สิ่งที่หากใครก็ตามคิดจะประสบความสำเร็จจากการลงทุน เขาต้องแก้ให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้น โอกาสเดินออกจากวงการก่อนเวลาอันควรจะสูงมากทีเดียว
เชื่อในทฤษฏีใดทฤษฏีหนึ่งมากเกินไป – ยกตัวอย่างเช่น เป็น VI จ๋าเลย เข้าตลาดในช่วงตลาดขาขึ้น คิดว่าถือไปเรื่อยๆ จะทำให้ตัวเองกลายเป็น ดร.นิเวศน์ 2 แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแค่นักลงทุนธรรมดาที่เกือบรวย
คำถามคือ เพราะอะไร? นั้นก็เพราะ Fundamental Analysis ช่วยให้นักลงทุนรู้ว่า อะไรที่น่าลงทุน แต่ Technical Analysis ช่วยให้นักลงทุนรู้ว่า ควรลงทุนมื่อไหร่ หากคุณไม่เปิดใจยอมรับในอีกมุมหนึ่งบ้าง นั้นก็เท่ากับเสียโอกาสในการเรียนรู้ทันที
ยังใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล – ลองพิจารณาย้อนดูอดีตกันครับว่า ตลาดหุ้น ตกเพราะอะไร? หุ้นตกก็ต้องเพราะข่าวร้าย และลองถามตัวเองว่า ตอนที่เราได้ยินข่าวร้าย เรารู้สึกอย่างไร? คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเหมือนกัน ก็คือ เกิดอาการกลัวลองกลับมาดูที่หลักการลงทุนดีๆแล้วคิดใหม่นะครับ “ซื้อถูก ขายแพง”
นั้นหมายความว่า คุณต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง ต้องเข้าซื้อในตอนที่มีข่าวร้าย ตอนที่คนอื่นเขาขาย คุณถึงจะได้ของถูกมาอยู่ในมือ และเช่นกัน ไม่ใช่เห็นว่า หุ้นวิ่งยาวๆ แล้วกลับไปนึกว่า มันจะไม่มีวันย่อลงมา นี่ก็เข้าข่ายประมาท ความรู้สึกดีกับตลาดขาขึ้น จะเข้ามาบดบังความจริง จนเราลืมนึกไปว่า ราคากับปัจจัยพื้นฐาน มันอาจไม่ได้ไปด้วยกันแล้วก็ได้
ไม่ปรับกลยุทธ์ เมื่อแนวโน้มตลาดเปลี่ยนไป – ข้อนี้ อาจเป็นผลจากข้อ 1 และข้อ 2 มารวมกันด้วย ในช่วงภาวะตลาดขาขึ้น (Bull Market) เงินในพอร์ตของนักลงทุนที่อยู่ในตลาดจะโตขึ้นแบบที่เราไม่ต้องทำอะไร จนบางครั้งทำให้คนที่ไม่ได้ลงทุน เห็นนักลงทุนอย่างเราๆว่าเป็น “อัฉริยะ” แล้วเซียนก็เกิดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง
แต่ความจริงก็คือ ในตลาดขาขึ้น แม้แต่คุณที่ไม่รู้เรื่องการลงทุนมากที่สุด เขาก็สามารถทำกำไรจากมันได้ แต่ภาวะตลาดที่ทำให้เศรษฐีกลายเป็นยาจกภายในข้ามคืน ก็คือ ช่วงตลาดขาลง (Bear Market) และเพื่อที่จะรับมือกับภาวะตลาดขาลง นักลงทุนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ของตัวเองตามสภาพตลาด แต่ถ้าคุณวิเคราะห์เจาะลึกมาดีจริง และหุ้นที่คุณถือ มันสามารถทนสภาวะตลาดที่โดนเทขายแรงๆได้ และใจของคุณพร้อมซื้อเพิ่มเมื่อราคามันลงมาถูกเรื่อยๆ ก็ขอให้ระลึกไว้ว่า มันควรเป็นการตัดสินใจ และเป็นการวิเคราะห์ที่คุณเป็นคนวิเคราะห์เอง ไม่ใช่ฟังจากใครต่อใครมา
จาก 3 ข้อผิดพลาดข้างต้น หากนักลงทุนสามารถแก้ไข และพัฒนาตัวเองได้ ผมเชื่อว่า เราก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่เราวางไว้ได้อย่างแน่นอน
จำไว้นะ “อยากซื้อหุ้นถูกๆ มันมาพร้อมข่าวร้ายเสมอ” อย่าให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล เพราะไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือในโลกการลงทุน อารมณ์ชั่ววูบก็ไม่เคยทำให้ใครได้ดี พัฒนาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้ จะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น
โชคดีในการลงทุนครับ