ใน ตอนที่แล้ว ผมได้แสดงความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการเป็นคนทำงานประจำกับการเป็นฟูลไทม์เทรดเดอร์ เรามาติดตามกันต่อว่าแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวตนของเรากันแน่
ข้อสี่..การได้รับการยอมรับในสังคม
ข้อนี้มนุษย์เงินเดือนชนะฟูลไทม์เทรดเดอร์ครับ ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่าอาชีพเทรดเดอร์ยังไม่ได้รับการยอมรับในสังคมไทยมากนัก (ขนาดเล่นหุ้นไปทำงานไปยังโดนเขม่นประจำ) การที่ออกจากงานประจำมาเล่นหุ้นอย่างเดียว แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่มีสังคมอื่นนอกเหนือจากนักลงทุนด้วยกันเอง เมื่อเปรียบเทียบกับคุณยังเป็นคนทำงานอาจมีโอกาสได้เจอผู้ใหญ่ เจอผู้คนในวงการเดียวกัน
ถ้าหากเป็นเทรดเดอร์ โอกาสที่จะได้เจอผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการหรือพวกเซียนหุ้นทั้งหลายก็ไม่ได้มีเยอะมากนัก ถ้าพอร์ตคุณไม่ได้ใหญ่มากก็คงไม่มีใครมาสนใจมากนัก ไม่เพียงแต่การได้รับการยอมรับในสังคม แม้แต่คนในครอบครัวเองก็อาจไม่ให้การยอมรับด้วยซ้ำ เพราะผู้ใหญ่ในวัยนี้ส่วนมากจำภาพตลาดหุ้นสมัยต้มยำกุ้งมาทั้งนั้น ไม่ค่อยมีใครปล่อยให้ลูกหลานออกมาเล่นหุ้นอย่างเดียวหรอก
ข้อห้า…ความมั่นคงทางการเงิน
ข้อนี้มนุษย์เงินเดือนก็เป็นฝ่ายชนะอีก มีเรื่องแปลกแต่จริงอย่างหนึ่งคือเทรดเดอร์มืออาชีพที่มีพอร์ตร้อยล้านบาทอาจจะทำบัตรเครดิตไม่ผ่านก็ได้เพราะธนาคารมองว่าคุณมีรายได้ที่ไม่แน่นอน (คือเดือนนี้กำไร 10 ล้าน เดือนต่อไปอาจจะกำไร 50 ล้าน แต่แบงก์จะมองว่าไม่มั่นคง) แต่ในขณะที่มนุษย์เงินเดือนรายได้ 15,000 บาทต่อเดือนกลับอนุมัติบัตรเครดิตได้สบายๆ
คนทำงานประจำ ต่อให้ทำงานก๊องๆแก๊งๆ ออกแรงไม่ถึงครึ่ง สิ้นเดือนคุณก็ได้เงินเดือนเท่ากันทุกเดือน ยกเว้นเป็นเซลล์ ถ้าขี้เกียจก็อด… ส่วนคนที่เป็นฟูลไทม์เทรดเดอร์ ขี้เกียจเมื่อไรก็ไม่มีรายได้
แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทั้งมนุษย์เงินเดือนและฟูลไทม์เทรดเดอร์ ต่างเผชิญความท้าทายในข้อนี้ด้วยกันทั้งคู่ คือคนทำงานประจำที่ไม่มีการพัฒนาตัวเองและเทรดเดอร์ที่ไม่พัฒนาตัวเอง ต่างก็จะไม่มีความมั่นคงทางการเงินเหมือนกันครับ เพราะสมัยนี้นั่งทำงานอยู่คุณอาจถูกปลดออกจากตำแหน่งหรือถูกเลย์ออฟเอาได้ง่ายๆ หรือพนักงานแก่ๆที่งานน้อยเงินเดือนสูง พวกนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่โดนหมายหัวให้ออกถ้าองค์กรเริ่มไปไม่รอด
ข้อหก..อิสระภาพทางการเงิน
ข้อนี้ผมให้เสมอกัน เพราะต่างฝ่ายต่างต้องพยายามพาตัวเองไปให้ถึงอิสรภาพทางการเงินเหมือนกัน ใช่ว่าทำงานไปเรื่อยๆหรือเทรดไปเรื่อยๆแล้วจะได้มันมาซะเมื่อไร หากคุณทำแต่งานประจำมีรายได้ทางเดียว รับรองได้ว่าคุณจะไม่มีสินทรัพย์เพียงพอสำหรับการเกษียนอย่างสบายใจ ถ้าไม่มีการแบ่งเงินไปลงทุนอย่างอื่น
เทรดเดอร์ก็เช่นกันครับ ถ้าไม่มีการวางแผนทางการเงินที่ดี มีแผนสำรอง รวมถึงรายได้ในรูปแบบ Passive Income (เช่นรายได้ค่าเช่าต่างๆ) ก็อย่าหวังว่าจะไปถึงอิสรภาพทางการเงินได้ครับ
สรุปว่า ใครแพ้ใครชนะไม่สำคัญกันครับ สำคัญกว่าคือเราต้องตอบจริตของเราให้ได้ครับว่าตัวเองเหมาะสมกับอะไร ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าคุณทำงานประจำก็ควรจะต้องศึกษาการลงทุนเอาไว้ ส่วนคนเป็นฟูลไทม์เทรดเดอร์ก็ต้องยอมรับว่าคุณจะได้บางอย่างไม่เหมือนคนทำงานประจำและก็จะต้องเสียบางอย่างด้วยเช่นกันครับ
-นเรศ เหล่าพรรณราย –