ผมเกิดและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมการผลิต ดังนั้น เมื่อโลกก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีด้านข้อมูลและการสื่อสารแบบดิจิตอลในยามที่ผมมีอายุมากแล้ว ผมจึงไม่ใคร่ที่จะคุ้นเคยและชำนาญในการใช้มัน ผมมองดูคนรุ่นใหม่ด้วยความ “ทึ่ง” ไล่ตั้งแต่เด็กเล็กอายุน่าจะไม่เกิน 2-3 ปี นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์บนโทรศัพท์มือถืออย่างคล่องแคล่ว
พวกเขาใช้นิ้วเล็ก ๆ กดหาเกมจำนวนมากบนจอแล้วเล่นหรือดูโปรแกรมสำหรับเด็ก พอเบื่อเกมหนึ่งเขาก็รู้จักกดออกแล้วกลับไปหาเกมใหม่อย่างไม่รู้เบื่อ นิ้วเล็ก ๆ ที่จิ้มลงบนจอนั้นไม่เคยพลาด ว่าที่จริงทักษะในการใช้นิ้วของเขานั้นน่าจะดีกว่าการเดินที่บางทียังกระเตาะกระแตะด้วยซ้ำ ดังนั้น เมื่อพวกเขาโตขึ้น การพิมพ์หรือใช้นิ้วกับตัวอักษรเล็ก ๆ บนโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็ก ๆ จึงเป็นเรื่องธรรมชาติและทำได้เร็วมาก และนั่นน่าจะทำให้คนรุ่นใหม่สามารถสื่อสารและใช้งานจากโทรศัพท์หรือน่าจะเรียกว่า “คอมพิวเตอร์พกพา” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนรุ่นโตขึ้นมาหน่อยระดับ Gen Y อายุไม่เกิน 30 ปีเศษ ซึ่งก็เป็นคนที่เริ่มใช้คอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็กเองนั้นผมก็ทึ่งในแง่ที่ว่าพวกเขาสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิตอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถและใช้ App ต่าง ๆ ที่มีมากมายในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นในเรื่องของ E-Commerce ที่พวกเขาใช้ในการซื้อสิ่งของต่าง ๆ ที่ต้องการได้จากทั่วโลกด้วย “ปลายนิ้ว” ในขณะที่ผมเองนั้นรู้สึก “กลัว” และไม่กล้าทำเนื่องจาก “ไม่ได้เห็นของจริง” และกลัวเรื่องการชำระเงินที่อาจจะยัง “ไม่ปลอดภัย” หรือในการเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกที่ไม่คุ้นเคยและไม่เคยไปนั้น พวกเขาสามารถ “ไปเอง” ได้โดยไม่ต้องอาศัยทัวร์ พวกเขาใช้กูเกิลนำทางซึ่งดีและถูกต้องบางทียิ่งกว่าไก้ด์ในขณะที่ผมเองนั้น “นึกไม่ออก” ว่าจะทำได้อย่างไรถ้าจะต้องจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม จองรถหรือรถไฟเพื่อเดินทางระหว่างเมืองในต่างประเทศ ผมกลัวว่าจะผิดพลาดในจุดใดจุดหนึ่งซึ่งจะทำให้ทุกอย่าง “เละ” ไปด้วย กลัวหลงทาง กลัวปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดจากระบบของเทคโนโลยี ดังนั้น ผมจึงพยายาม “หลีกเลี่ยง” ถ้าผม “ไม่จำเป็น” ที่จะต้องใช้
แต่แล้วโลกก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
โลก “เก่า” ถูกแทนที่ด้วยโลกของดิจิตอลมากขึ้นทุกที หลาย ๆ อย่างที่ผมเคยทำหรือเคยใช้อย่างคุ้นเคยและสบายใจนั้น บัดนี้เขาเลิกหรือกำลังจะเลิกใช้ ผมต้องปรับตัวเพื่อที่จะหันมาใช้ของใหม่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเรื่องของสื่อสังคมที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงานนั้น ผมก็ต้องเริ่มใช้ App ที่ติดต่อกันผ่านโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ เรื่องผมเองก็ยังพยายาม “เลื่อน” ออกไป ไม่ยอมใช้ ตัวอย่างเช่น Planner ที่ใช้นัดกับคนอื่นนั้น ผมก็ยังใช้สมุดนัดอยู่ มันคงเป็นเรื่องที่ผมคุ้นเคยและสะดวกในการจดบันทึก การเขียนหรือพิมพ์บนโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กสำหรับผมนั้นเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกยากและ “งุ่มง่าม” ที่จะทำ
ผมเองรู้สึกว่าประสิทธิภาพของผมในการทำงานและใช้ชีวิตนั้นลดลงเมื่อเทียบกับคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและกล้าใช้เทคโนโลยีดิจิตอลมากกว่า มีเพียงเรื่องของการศึกษาหรือเรียนรู้ที่ผมคิดว่ายังเสียเปรียบไม่มากนัก เหตุผลก็เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่การ “ใช้สมอง” เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ส่วนในเรื่องของข่าวสารและข้อมูลที่จะนำมาสู่สมองนั้น ตราบใดที่ผมยังมีความสามารถในการ “ท่องอินเตอร์เน็ต” โดยเฉพาะที่เพียงเข้าไปดู ผมก็จะยังมีความสามารถในการเรียนรู้ไม่ต่างจากเด็กรุ่นใหม่ จริงอยู่ ผมอาจจะใช้เวลามากกว่าในส่วนของการค้นหาข้อมูล แต่ผมเองก็อาจจะเสียเวลาน้อยกว่าในการอ่านหรือดูข่าวสารและข้อมูลที่เป็นเรื่องของสังคมหรือความบันเทิงที่ไม่ได้เพิ่มความรู้ความเข้าใจ ผมไม่ค่อยจะคุยในเรื่องสัพเพเหระที่คนส่วนใหญ่มักจะทำ ผมไม่โพสข้อความต่าง ๆ บนสื่อสังคมถ้าไม่จำเป็น ผมเลือกสิ่งที่ผมจะดูหรืออ่าน ดังนั้น ผมคิดว่าผมยังสามารถเรียนรู้และเข้าใจวิวัฒนาการและโลกได้ไม่แพ้คนที่ “ไฮเทค” แม้จะรู้ตัวเองว่าเป็นคน “โลว์เทค”
โชคดีที่ว่าการลงทุนที่เป็นอาชีพหรือ “ชีวิต” ของผมเองนั้น มันขึ้นอยู่กับ “ความคิด” และความเข้าใจในโลกและการดำเนินการของบริษัทหรือธุรกิจต่าง ๆ ดังนั้น ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้เรายัง “อยู่รอด” ได้ ถ้าผมยังทำงานในออฟฟิส เป็นผู้บริหาร หรือทำงานวิชาชีพหลาย ๆ อย่างที่ต้อง Execute หรือลงมือปฏิบัติมาก ๆ ผมคง “เอาตัวไม่รอด” ถ้ามีความรู้ทางด้านดิจิตอลในระดับนี้ แต่ถ้าจะพูดอีกด้านหนึ่ง ถ้าผมยังทำงานอย่างที่กล่าว ผมเองก็คงต้องศึกษาเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีมากกว่านี้และคงไม่เป็นคนที่โลว์เทคอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ข้อสรุปของผมก็คือ อาชีพนักลงทุนนั้น เป็นอาชีพที่คนทำสามารถที่จะโลว์เทคได้ แต่คุณจะต้องรู้ว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ นั้นส่งผลกระทบต่ออะไรบ้าง มันส่งเสริมธุรกิจอะไรมากน้อยแค่ไหน และมัน “ทำลาย” ใคร เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงไม่รับรู้กับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้
ผมเองยอมรับว่าไม่มีความสามารถที่จะคาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยีไหนจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้น ผมไม่ลงทุนในบริษัทใหม่ ๆ ที่กำลัง “ร้อนแรง” ผมรู้ว่าบริษัทไหนชนะแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าราคาหุ้นเหมาะสมคือเท่าไร เหตุผลก็เพราะว่าผมไม่รู้ว่ามันจะคงชนะอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหน หรือมันจะเติบโตทำกำไรได้เร็วพอกับราคาหุ้นที่ “สูงลิ่ว” หรือเปล่า ดังนั้นผมจึงหลีกเลี่ยงที่จะไม่ลงทุน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นเหล่านั้นไม่มีอยู่ในตลาดหุ้นไทยที่ผมคุ้นเคยและเป็นตลาดลงทุนหลักของผม
สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าก็คือ หุ้นตัวไหนจะได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากเทคโนโลยี
ถ้าหุ้นตัวไหนมีโอกาสที่จะ “ถูกทำลาย” หรือด้อยลงไปมากเนื่องจากเทคโนโลยีดิจิตอล ผมก็จะหลีกเลี่ยง หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีหรือไม่ถูกกระทบจากเทคโนโลยีมากนักจะเป็นหุ้นที่ผมเลือกที่จะลงทุน แต่ก็อย่างที่มักจะพูดกัน เทคโนโลยีนั้นมักจะไม่ใคร่ช่วยธุรกิจเก่า ส่วนมากมันทำลายล้างของเก่าเพื่อที่จะสร้างสิ่งใหม่
ธุรกิจใหม่ ๆ ที่เทคโนโลยีดิจิตอลสร้างขึ้น หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อของ “Startup” นั้น ผมเองต้องยอมรับว่ายังไม่เข้าใจพอที่จะวิเคราะห์ว่าบริษัทไหนจะประสบความสำเร็จและน่าลงทุน การที่ยังมีขนาดเล็กและยังไม่มีกำไรนั้นทำให้ผมรู้สึกว่ามีความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้น ผมจึงหลีกเลี่ยงมัน เป็นไปได้ว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า การลงทุนในธุรกิจที่เน้นและอิงกับเทคโนโลยีดิจิตอลอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าคำนึงถึงอายุของผมแล้ว ผมอาจจะไม่ได้ลงทุนกับมันเป็นเรื่องเป็นราวเลยในชีวิตนี้ แต่นี่ก็จะเป็นเรื่องที่ผมต้องติดตามไปเรื่อยๆ แต่ ณ. ขณะนี้ สิ่งที่ผมจะลงทุนนั้น นอกจากบริษัทจะมีคุณสมบัติครบถ้วนและเป็นกิจการที่มีความแข็งแกร่งและมีความได้เปรียบที่ยั่งยืนแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันมีโอกาสที่จะ “ถูกทำลาย” ต่ำ โดยที่เหตุผลที่จะเป็นอย่างนั้นอาจจะเพราะว่ามันเป็นเรื่องของความรู้สึกและรสนิยมที่ติดอยู่ในยีนของคน หรือด้วยเหตุผลด้านความคุ้มค่าด้านต้นทุนที่ทำให้ดิจิตอลไม่สามารถมาแทนที่ได้
ตัวอย่างเช่นในเรื่องของธุรกิจอาหาร ที่อย่างไรเสีย คนก็ยังต้องกิน และยังต้องการ รสชาดที่ถูกปากที่อะไรก็มาแทนไม่ได้ หรือในกรณีเรื่องความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจที่การค้าขายทางอินเตอร์เน็ตไม่สามารถแทนที่ได้ ก็เช่น สินค้านั้นมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับต้นทุนในการส่งของซึ่งทำให้คนยังต้องไปตรวจสอบดูด้วยตนเองอย่างเช่นบ้านหรือเครื่องเพชรราคาแพง หรือสินค้าที่มีราคาต่ำมากจนการส่งของตามสั่งแต่ละชิ้นนั้นไม่คุ้มค่าเช่นสินค้าสะดวกซื้อเป็นต้น ส่วนสินค้าที่มีความเสี่ยงมากที่สุดก็คือสินค้าระดับราคากลาง ๆ โดยเฉพาะที่คุณสมบัติของสินค้าเป็นมาตรฐานและไม่ได้มียี่ห้อหลากหลายเช่นอุปกรณ์เครื่องใช้ทางอิเลคโทรนิก เช่น คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเป็นต้น
สุดท้ายสำหรับ VI รุ่นใหม่นั้น ผมคิดว่าพวกเขาส่วนใหญ่น่าจะเป็นคน “ไฮเทค” ซึ่งทำให้ได้เปรียบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิตและการลงทุน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักและระวังก็คือ การใช้มันในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในโลกและชีวิตมากเกินไปอาจจะเนื่องจากว่ามันสะดวกมากที่จะทำผ่านระบบดิจิตอล และนั่นจะเป็นข้อเสียที่สำคัญของการมีเทคโนโลยี “ที่ปลายนิ้ว”
ที่มาบทความ : http://www.thaivi.org/เทคโนโลยีกับ-vi/