
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐมีความจริงจังสำหรับปฏิบัติการ Trade War ว่าด้วยการตั้งกำแพงภาษีแบบที่พูดจริงทำจริงในเกือบทุกครั้งในรอบนี้ โดยหากพิจารณาเปรียบเทียบกับ Trade War 1.0ในรอบที่แล้ว จะพบว่าไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์หรือแท็คติคเพื่อบังคับให้ประเทศคู่ค้าเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อให้ประเทศเหล่านั้นทำในสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ อาทิ เพื่อครอบครองพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่าง Greenland หรือบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์อย่างคลองปานามาอีกต่อไป โดยมีจุดหมายเพื่อทำการลดดุลการค้าของสหรัฐต่อประเทศเหล่านั้น
โดยที่ทรัมป์ ในรอบนี้ มีความสนใจผลกระทบของ Trade War ต่อตลาดหุ้นสหรัฐน้อยลง ซึ่งทรัมป์ได้กล่าวว่าสหรัฐอาจต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดหุ้นบ้างในระยะนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐในระยะยาว พร้อมๆกับ สก็อตต์ เบสเสนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ที่กล่าวว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐต้องเผชิญกับช่วงถอนพิษ (Detox Period) ในตอนนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบในภาพรวมต่อประเทศอื่น ๆ ในโลก
ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้ออก Executive Order ในการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) หรือ SWF โดยได้ประกาศ 5 สกุลเงินดิจิทัลที่ SWF สามารถถือครองในกองทุนดังกล่าว เพื่อลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ พร้อมกับประกาศโครงการ Golden Visa ที่เน้นหารายได้จากผู้มีความมั่งคั่งทั่วโลก โดยทรัมป์เน้นว่าจะนำรายได้ดังกล่าวมาจ่ายหนี้สินของรัฐบาลที่มีอยู่สูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งหมดนี้ จึงนำมาซึ่งข้อสรุปที่ว่าทรัมป์เน้นระบบ Mercantilist หรือใช้ประโยชน์จากการใช้เม็ดเงินที่พยายามจะหามาจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกซึ่งส่วนใหญ่มีดุลการค้าแบบเกินดุลต่อสหรัฐ รวมถึงทำการบริหารจัดการมาเพื่อให้ได้จากดีลทางธุรกิจกับรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ด้วยการใช้มาตรการ Tariff เป็นอาวุธขู่แกมบังคับเพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น โดยจะนำรายได้ดังกล่าวมาชำระหนี้ของภาครัฐและทำประโยชน์อื่น ๆ ในจังหวะถัดไป
มาตรการถัดไปจากนี้ของทรัมป์หลังจาก Trade War หากประเมินจากแนวคิดนี้ น่าจะหนีไม่พ้นการหาวิธีการที่ทำให้เงินสกุลดอลลาร์มีระดับที่ค่อนข้างอ่อนค่าลงเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของสหรัฐ โดยทีมงานของทรัมป์เชื่อว่า การที่เงินดอลลาร์มีฐานะที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก (Global Currency) นั้น แม้จะมีข้อดีที่ต้นทุนหรืออัตราดอกเบี้ยจะต่ำลงสะท้อนความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำมากของดอลลาร์ ทว่าการที่ประเทศต่างๆมีความต้องการถือครองเงินสกุลดอลลาร์จากฐานะดังกล่าว ก็เท่ากับเป็นเพิ่มความแข็งค่าของดอลลาร์ไปในตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สหรัฐเสียเปรียบทางด้านการส่งออกต่อประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ทำให้ทีมงานของทรัมป์ มีแนวคิดแบ่งเป็น 3 มาตรการหลักที่อาจจะนำออกมาใช้ในอนาคต เพื่อทำการลดระดับการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการค้าของสหรัฐดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ได้แก่
หนึ่ง การปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างเจ้าหนี้ประเทศอื่น ๆ ที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐอยู่ในขณะนี้กับรัฐบาลสหรัฐซึ่งเป็นลูกหนี้ โดยทำการเปลี่ยนหนี้ในรูปของเงินสกุลดอลลาร์เป็นตราสารแนว Perpetual Bond หรือหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ที่ไม่มีกำหนดจ่ายเงินต้น ด้วยการจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆตลอดไป ซึ่งจะเท่ากับเป็นการลดหนี้ของรัฐบาลสหรัฐไปในตัว พร้อมกับเป็นการลดระดับความเป็นเงินสกุลหลักของโลกลงมา จากการที่ประเทศต่าง ๆ ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินต้นในรูปของสกุลดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีระดับที่อ่อนลงด้วย
อย่างไรก็ดี ในมิติของการจัดอันดับเครดิตของสถาบันต่าง ๆ มองว่าปฏิบัติการนี้เท่ากับว่ารัฐบาลสหรัฐได้ทำการเบี้ยวหนี้ในเชิงเทคนิค (Technical Default) ไปเรียบร้อยแล้ว
สอง เมื่อมาตรการแรกดูแล้วมีข้อด้อยที่ถือว่าเสียหายมาก ทางเลือกของมาตรการถัดไปของทรัมป์ คือการใช้ SWF เป็นกลไกในการทำการแทรกแซงเข้าซื้อเงินสกุลของประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลต่อสหรัฐเพื่อให้ค่าเงินของประเทศเหล่านี้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งจะให้ประเทศเหล่านี้มีมูลค่าเกินดุลการค้ากับสหรัฐลดลง อย่างไรก็ดี มาตรการนี้ ต้องใช้ทรัพยากรในการเข้าแทรกแซงค่าเงินของประเทศคู่ค้า นอกจากนี้ ยังดูจะเป็นการแก้ปัญหาแบบจำกัดเฉพาะจุดอีกด้วย
ท้ายสุด มาตรการที่ทรัมป์และทีมงานอาจจะพยายามจะนำมาใช้ในระยะเวลาที่เหมาะสมในอนาคต คือ การเก็บภาษีฟันด์โฟลว์ของเงินทุนที่ไหลเข้าสหรัฐ (Incoming Flow) เพื่อทำการหารายได้ให้ภาครัฐจากกระแสเงินทุนของต่างชาติที่มาอาศัยใช้ประโยชน์ความเป็นเงินสกุลหลักโลกของดอลลาร์ พร้อม ๆ กับการสร้างแรงกดดันให้ต่างชาติลดปริมาณการถือครองเงินสกุลดอลลาร์ไปในตัว อันจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงไปแบบทั่วถึงแทบทุกสกุลเงิน อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้ต่อรัฐบาลสหรัฐเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจได้อีกด้วย
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com