
กลยุทธ์การลงทุนแบบโมเมนตัม (Momentum Investing) เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานดีเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์อื่น ๆ (ผู้ชนะ) โดยมีแนวโน้มที่จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีต่อไป และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานไม่ดีเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์อื่น ๆ (ผู้แพ้) โดยมีแนวโน้มที่จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีต่อไป
ยกตัวอย่าง
ช่วง 90 วัน
Price Change ของ หุ้น A คือ 15%
Price Change ของ หุ้น B คือ 20%
Price Change ของ หุ้น C คือ -20%
Momentum ของหุ้น B เป็นผู้ชนะ
ส่วนของ C คือผู้แพ้
=================================
กลยุทธ์นี้มีลักษณะเฉพาะตัวที่อาจเหมาะสมกับนักลงทุนบางประเภทมากกว่านักลงทุนอื่น ๆ
1) นักลงทุนที่อาจเหมาะสมกับกลยุทธ์โมเมนตัม
1.1 นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง:
เนื่องจากกลยุทธ์โมเมนตัมมีความผันผวนสูงกว่ากลยุทธ์อื่น ๆ และอาจมีช่วงเวลาที่ขาดทุนอย่างมากดังนั้น นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์นี้ควรมีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้สูง และไม่รู้สึกกังวลมากเกินไปเมื่อพอร์ตการลงทุนมีมูลค่าลดลงในระยะสั้น
1.2 นักลงทุนที่มองการลงทุนในระยะยาว:
แม้ว่ากลยุทธ์โมเมนตัมอาจมีความผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว กลยุทธ์นี้มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ดังนั้น นักลงทุนที่มองการลงทุนในระยะยาว และไม่ต้องการที่จะซื้อขายบ่อย ๆ อาจเหมาะสมกับกลยุทธ์นี้มากกว่านักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนอย่างรวดเร็ว
1.3 นักลงทุนที่เข้าใจกลยุทธ์และปัจจัยพื้นฐาน:
นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์โมเมนตัมควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานของกลยุทธ์นี้ รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่อาจมีผลต่อผลตอบแทนนอกจากนี้ ควรมีความเข้าใจว่าทำไมกลยุทธ์นี้อาจมีช่วงเวลาที่ขาดทุน และไม่ควรตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
1.4 นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด:
กลยุทธ์โมเมนตัมมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในระยะยาว ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น อาจพิจารณาใช้กลยุทธ์นี้ได้
1.5 นักลงทุนที่สามารถปรับตัวและมีวินัย:
กลยุทธ์โมเมนตัมต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนตามผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์ ดังนั้น นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์นี้ควรมีความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ และมีวินัยในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่วางไว้โดยสรุปแล้ว กลยุทธ์การลงทุนแบบโมเมนตัม อาจเหมาะสมกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง มีความเข้าใจในกลยุทธ์ และต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในระยะยาว
2) กลยุทธ์การลงทุนแบบ Momentum มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร เมื่อเทียบกับกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า?
กลยุทธ์การลงทุนแบบโมเมนตัม (Momentum Investing) และกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) เป็นสองกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมในการลงทุนซึ่งแต่ละกลยุทธ์มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์โมเมนตัมเมื่อเทียบกับกลยุทธ์เน้นคุณค่า:
2.1) ผลตอบแทน:
Momentum ที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าทั้งกลยุทธ์เน้นคุณค่าและกลยุทธ์ขนาด (size) ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนของโมเมนตัมสูงกว่าเมื่อเทียบกับกลยุทธ์เน้นคุณค่าเน้นคุณค่า มีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวเช่นกัน
แต่โดยทั่วไปแล้ว ผลตอบแทนเฉลี่ยจะต่ำกว่ากลยุทธ์โมเมนตัมจากภาพเป็นหุ้น USA โดยแยกแต่ละ Factor จะเห็นได้ว่าตลอด 15 ปีที่ผ่านมา Factor แบบคุณภาพให้ผลตอบแทนดีที่สุด
รองลงมาคือ Momentum โดยความสัมพันธ์ของคุณภาพและ momentum มีความสัมพันธ์ไปทิศด้วยกันอย่างมากแต่ Factor แบบเน้นคุณค่าผลตอบแทนจะสู้ Momentum ไม่ได้
2.2) ความผันผวน:
Momentum : มีความผันผวนสูงกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่า และอาจมีช่วงเวลาที่ขาดทุนอย่างมากมีแนวโน้มที่จะเกิด “momentum crashes” ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังตลาดหมีและตามด้วยการฟื้นตัวของตลาดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์โมเมนตัมยังมี Sharpe ratio ที่ดีกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่า
Value : มีความผันผวนต่ำกว่ากลยุทธ์โมเมนตัม แต่ก็อาจมีช่วงเวลาที่ผลตอบแทนต่ำหรือขาดทุนได้เช่นกัน
2.3) ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน:
Momentum: มีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนในระยะสั้น (1 ปี) สูงกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่าแต่ในระยะยาว (5 ปี) อาจมีความสม่ำเสมอต่ำกว่า
Value : มีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนในระยะยาว (5 ปี) สูงกว่ากลยุทธ์โมเมนตัม
2.4) การซื้อขาย:
Momentum มีอัตราการหมุนเวียนของพอร์ตสูงกว่ากลยุทธ์เน้นคุณค่า ซึ่งอาจส่งผลให้มีต้นทุนการซื้อขายที่สูงกว่าอย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่า ต้นทุนการซื้อขายของโมเมนตัมไม่ได้สูงจนเกินไป และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย
Value : มีอัตราการหมุนเวียนของพอร์ตต่ำกว่า
ซึ่งอาจทำให้มีต้นทุนการซื้อขายที่ต่ำกว่า แต่กลยุทธ์เน้นคุณค่ามีความเสี่ยงด้านภาษีจากเงินปันผลมากกว่า
2.4) ความสัมพันธ์:
กลยุทธ์โมเมนตัมและกลยุทธ์เน้นคุณค่ามีความสัมพันธ์กันในเชิงลบ การรวมกลยุทธ์ทั้งสองนี้เข้าด้วยกันสามารถช่วยลดความผันผวนและเพิ่ม ความเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุนได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน
2.5) ความเหมาะสม:
Momentum: อาจเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง มีความเข้าใจในกลยุทธ์ และต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดในระยะยาว
Value: อาจเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความเสถียรภาพและเน้นการลงทุนในระยะยาว
โดยสรุป:
- กลยุทธ์โมเมนตัม มีข้อได้เปรียบในเรื่องของผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนที่สูงกว่าและอาจมีช่วงเวลาที่ขาดทุนอย่างมาก
- กลยุทธ์เน้นคุณค่า มีข้อได้เปรียบในเรื่องของความผันผวนที่ต่ำกว่า แต่ก็อาจให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลยุทธ์โมเมนตัม
- การนำกลยุทธ์ทั้งสองมาใช้ร่วมกัน อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนและเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวการเลือกใช้กลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งหรือทั้งสองกลยุทธ์ร่วมกัน ควรพิจารณาจากความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เป้าหมายการลงทุนและความเข้าใจในกลไกการทำงานของแต่ละกลยุทธ์
สนใจลงทุน Global Aggressive Hybrid Portfolio สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-hyb
WealthGuru
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”