
โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำสหรัฐในวาระที่สอง หากเปรียบเทียบกับครั้งที่แล้ว จะพบว่าแนวทางของเขาได้เปลี่ยนไปจากครั้งก่อนพอสมควร โดยมาแบบจัดเต็มมากขึ้นทั้งในแง่ของมิติต่าง ๆ ที่คลอบคลุม รวมถึงความเข้มข้นของตัวนโยบาย ดังนี้
หนึ่ง จังหวะเริ่มด้วย Trade War ค่อยต่อด้วยนโยบายลดภาษี: จะเห็นได้ว่า Sequence หรือลำดับของการดึงนโยบายมาปฏิบัติจริงของทรัมป์รอบนี้ ดูเปลี่ยนไปจากสมัยเป็นผู้นำสหรัฐในครั้งที่แล้ว
หากยังจำกันได้ในยุค ทรัมป์ 1.0 โฟกัสเริ่มต้นของนโยบายหลักคือการผ่านกฎหมายลดภาษีครั้งใหญ่ในปี 2017 เพื่อให้อานิสงส์ไปออกดอกผลในช่วงเลือกตั้งกลางเทอมปลายปี 2018 แล้วจากนั้นในช่วงครึ่งหลังของทรัมป์สมัยแรก จึงหันมากระพือนโยบาย Trade War กับจีนและประเทศอื่น ๆ
ทว่าในรอบนี้ ดูเหมือนทรัมป์จะเลือกประกาศนโยบาย Trade War ก่อนเพื่อน แม้จะถือว่าเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยหรือการบลัฟกันมากกว่า ทว่าก็เรียกเสียงฮือฮาได้พอตัว จากการให้ผู้นำแคนาดาและเม็กซิโกต้องต่อสายเข้ามาคุย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ โดยการผ่านกฎหมายว่าด้วยการลดภาษีจะตามมาแบบที่ไม่เร่งรีบเหมือนสมัยที่แล้ว เนื่องจากผมมองว่าทรัมป์หวังให้สิ่งนี้ มีผลต่อฐานเสียงในการเลือกตั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเขาเองเตรียมแก้กฎหมายให้ตนเองสามารถเป็นผู้นำสหรัฐได้ต่ออีก 4 ปีหลังจากหมดวาระนี้
อย่างไรก็ดี ในทางเศรษฐกิจ Trade War ดูจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไม่ได้มากเท่ากับช่วงปี 2017 เนื่องจาก Trade War 1.0 และวิกฤตโควิด ผ่านการขึ้น tariff ของโดนัลด์ ทรัมป์ในรอบก่อนและสถานการณ์ห่วงโซ่อุปทานติดขัด ตามลำดับ ได้ทำให้การพึ่งพาสินค้าหรือวัตถุดิบจากต่างประเทศของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกลดลง
สอง ทรัมป์ในรอบนี้กล้าเปิดหน้าว่าอยากได้อะไร (Neoimperialism) โดยไม่ต้องเกรงใจเหมือนครั้งก่อน: หากยังจำกันได้ในรอบที่แล้ว ทรัมป์แทบจะไม่เคยพูดว่าอยากได้ดินแดนต่างๆแบบที่จับต้องได้ ทว่าในรอบนี้ ทรัมป์เปิดตัวด้วยการบอกว่าอยากได้คลองปานามา กรีนแลนด์ของเดนมาร์ก แถมยังอยากให้แคนาดามาเป็นรัฐหนึ่งในอเมริกาและต่อด้วย Gaza อีกทั้งยังปกป้อง tiktok ไม่ให้จอดำในสหรัฐ ส่วนหนึ่งจากการที่รอบก่อน ตัวเขาเองมาจากภาพลักษณ์การเป็นมหาเศรษฐีและนักธุรกิจที่หลายคนอาจมองในแง่ไม่ค่อยดีเสียด้วยซ้ำ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยปากต้องการอะไรแบบตรง ๆ
ทว่าเที่ยวนี้ เขามาจากการเป็นอดีตผู้นำสหรัฐที่เคยถูกลอบสังหารในช่วงรณรงค์หาเสียง ทำให้การบอกว่าอยากได้ของสิ่งไหน หรือสถานที่ใด ทำได้ไม่ค่อยเคอะเขิน แถมยังออก meme coin ของตนเองและภรรยาก่อนเข้ารับตำแหน่งด้วยเสียอีก
สาม ไม่ต้องพึ่งผู้นำพันธมิตรต่างประเทศเหมือนครั้งก่อน: ในรอบที่แล้ว ทรัมป์มีพันธมิตรคู่หูอย่างวลาดิเมียร์ ปูติน เป็นคนคอยส่งสัญญาณต่างๆต่อประเทศในยุโรป ทว่าในรอบนี้ ดูเหมือนทรัมป์จะไม่ต้องการให้ผู้นำท่านอื่นมาเป็นคู่หูอีกต่อไป โดยสาเหตุหนึ่งมาจาการที่ผู้นำต่าง ๆ ในโลก ณ ตอนนี้ ดูจะไม่ค่อยมีใครที่แกร่งในทางการเมือง (ยกเว้น สี จิ้น ผิง) เหมือนในรอบก่อน ที่ยังมี อังเจลล่า แมร์เคิล ผู้นำเยอรมัน คอยคานทรัมป์ได้บ้างในจังหวะนั้น อีกทั้งผู้นำที่ดูรู้ใจกันอย่าง บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษก็มีอันต้องหลุดออกจากตำแหน่งไปแล้ว ด้านปูตินเองก็ดูจะเสียเครดิตไปมากกับสงครามในยูเครน ในขณะที่วิคเตอร์ ออร์บาน ของฮังการี ก็มีการออฟไซด์ทรัมป์เล็ก ๆ ในช่วงที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อ 3 เดือนก่อน
สี่ ทีมงานของทรัมป์ 2.0 เต็มไปด้วยสาย MAGA แบบไม่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาแจมเหมือนรอบที่แล้ว: ในรอบก่อน ทรัมป์ยังมีทีมงานครม. ที่เป็นสายกลาง ๆ อาทิ ไมค์ ปอมปิโอ รมว. ต่างประเทศ, แกรี่ คอห์น ประธานที่ปรึกษาสภาเศรษฐกิจ และ วิลเบอร์ รอส รมว.พาณิชย์ ทว่าในรอบนี้ มาเป็น มาร์โค รูบิโอ และ โฮเวิร์ด ลัตนิค (รอการรับรองจากสภาคองเกรส) ที่ฮือฮาคือ พีท เฮกเซท ซึ่งมีเรื่องราวส่วนตัวที่ฮือฮา มารับตำแหน่ง เป็นรมว. กลาโหม และ ทูลซิ แกบบาร์ด (รอการรับรองจากสภาคองเกรส) ซึ่งมีประวัติด้านแนวคิดด้านความมั่นคงที่อินดี้เป็นอย่างมาก มาดูแลด้านหน่วยงาน National Intelligence นอกจากนี้ ยังพบว่าตำแหน่งหลักอย่าง รมว.คลัง และ รมว. ต่างประเทศที่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ถือว่าเลือกมาจากสาย ของตนเองเสียเป็นส่วนใหญ่
ห้า ยึดคืนความยิ่งใหญ่ด้านอิทธิพลทางในแถบทวีปอเมริกา: ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่สหรัฐได้ละเลยหรือให้ความสำคัญน้อยลง คือการดำรงอิทธิพลต่อทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ โดยปล่อยให้จีนเข้ามาลงทุนในโครงการ Belt and Road ในแถบนี้ จนทิศทางการเมืองของประเทศเหล่านี้ ไหลไปสู่กับอิทธิพลของจีนมากกว่าสหรัฐเป็นอย่างมาก
ในรอบนี้ของทรัมป์ ได้ส่งมาร์โค รูบิโอไปเยือนประเทศในแถบนี้เป็นที่แรก โดยได้ประกาศต้องการคลองปานามาและต้องการให้ผู้นำของประเทศเหล่านี้ลดการพึ่งพาจากจีน แล้วหันมาจับมือกับสหรัฐแทน ซึ่งมีแนวโน้มว่าสหรัฐจะทำเช่นนี้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ทั่วโลกที่จีนได้ไปลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย
ยังมีอีก 5 กลยุทธ์ของทรัมป์ให้ติดตามกันต่อในครั้งถัดไป
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com