ต่อเนื่องจากบทความก่อนที่เน้นกองทุนลดหย่อนภาษีของไทยและเอเชีย บทความนี้จะขอโฟกัสไปที่กองทุนลดหย่อนภาษีในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยจะขอฉาย แนะนำกองทุนลดหย่อนภาษีแนวเน้นเซกเตอร์แบบเชิงรับหรือ Value จากนั้นพิจารณากองทุนลดหย่อนภาษีแนวเทคโนโลยีหรือแบบเติบโต (Growth) และตบท้ายด้วยภาพกองทุน RMF และ SSF ตลาดสหรัฐแบบรวมทั้งตลาด
เริ่มจากกองทุนหุ้นสหรัฐแนวเน้นเซกเตอร์แบบเชิงรับหรือ Value ได้แก่
KFGBRANRMF และ KFGBRANSSF ซึ่งมีกองต้นทางอ้างอิง (Feeder Fund) ที่ชื่อ กองทุน Morgan Stanley Global Brands
หากใครต้องการกองทุนหุ้นสหรัฐที่มีระดับความเสี่ยงต่ำกว่าตลาดรวม กองทุนนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีน้ำหนักที่เอียงมาทางกลุ่มหุ้นในเซกเตอร์ Value หรือ เน้นระดับ P/E ที่ไม่สูงและจ่ายเงินปันผลงาม อาทิ เซกเตอร์การเงิน สินค้าจำเป็น Healthcare และอุตสาหกรรม มากกว่าดัชนี MSCI World Equity Index และ ดัชนี S&P500 ในขณะที่น้ำหนักในกลุ่ม Growth เช่น IT, สินค้าฟุ่มเฟือย, บริการด้านการสื่อสาร และพลังงาน ที่น้อยกว่าตลาด
นอกจากนี้ กองทุน Morgan Stanley Global Brands ยังเลือกหุ้นที่มีมูลค่าแบรนด์สูง หรือ มี Intangible Asset ระดับสูงโดย ณ กลางเดือนธันวาคม 2024 หุ้น 10 ตัวแรก ประกอบด้วย Microsoft, SAP, Visa, Accenture, Intercontinental Exchange, RELX, UnitedHealth, Thermo Fisher Scientific, Becton Dickinson และ Aon ซึ่งถือว่าล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์ที่มีระดับ
ทั้งนี้ แม้อัตราผลตอบแทนในช่วง 2 ปีนี้ จะต่ำกว่าตลาดสหรัฐโดยรวม ทว่าอัตราผลตอบแทนก็สูงเป็นระดับ 2 หลัก โดยหากพิจารณาในระยะยาว พบว่า NAV มีระดับการแกว่งตัวที่ต่ำกว่าตลาด รวมถึงอัตราผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง
หันมาพิจารณากองทุนแนวเทคโนโลยีที่เน้นแบบเติบโต หรือ Growth กันบ้าง
หนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ ได้แก่ B-INNOTECHRMF ซึ่งมี Fidelity Funds – Global Technology Fund เป็น Feeder Fund หากเปรียบเทียบกับ TNEXTGENRMF-A ซึ่งมี ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) เป็น Feeder Fund โดยอย่างที่ทราบกันว่า แคธี่ วู้ด ผู้บริหาร ARK เป็นผู้บริหารกองทุน ARKW แน่นอนว่าดูเหนือกว่าฮุนโฮ ซอน ผู้จัดการกองทุน Fidelity Funds – Global Technology Fund อย่างไรก็ดี
เมื่อเปรียบเทียบด้านอัตราผลตอบแทน จะพบว่า B-INNOTECHRMF ให้อัตราผลตอบแทนในระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) สูงกว่า TNEXTGENRMF-A ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนระยะ 3 ปีติดลบ โดยถือว่าในมิติอัตราผลตอบแทนในอดีตนั้น B-INNOTECHRMF ทำได้ดีกว่า TNEXTGENRMF-A
ด้านเซกเตอร์ที่ถือครอง ถือว่าทั้ง 2 กองทุน พบว่ามีดีคนละอย่าง โดย B-INNOTECHRMF เน้นเซกเตอร์ IT สหรัฐที่โดดเด่น ส่วน TNEXTGENRMF-A เน้นเซกเตอร์ Cloud & Digital Wallet ซึ่งหุ้นเติบโตสหรัฐดูโดดเด่น
โดยภาพรวม ผมยังชอบ B-INNOTECHRMF มากกว่า TNEXTGENRMF-A
ท้ายสุด พิจารณากองทุน RMF และ SSF ตลาดสหรัฐแบบรวมทั้งตลาด แนว Active
โดย RMF ประกอบด้วย KUSARMF, SCB-RMUSA และ KFUSRMF ส่วน SSF ประกอบด้วย SCBUSA(SSF) และ KFUSSSF
สำหรับในภาพรวม กองที่น่าจะถือว่าเสี่ยงกว่าเพื่อน ได้แก่ SCBRMUSA(A) และ SCBUSA(SSF)
โดยผมขอเปรียบเทียบระหว่าง SCB-USA ซึ่งมี Morgan Stanley Investment Funds – US Advantage เป็น Feeder Fund และ K-USA ซึ่งมี Brown Advisory US Sustainable Growth Fund เป็น Feeder Fund ก่อน
หากพิจารณาระดับเซกเตอร์ จะพบว่า SCB-USA มีเซกเตอร์สินค้าบริโภคแบบฟุ่มเฟือย ที่มีน้ำหนักสูงกว่าตลาดมาก ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ที่กองทุนนี้ถือครองหุ้นสไตล์ค่อนข้างหวือหวา รวมถึงหุ้น 10 ตัวแรกของกองทุน SCB-USA มีน้ำหนักถึงเกือบ 60% ของทั้งหมด ในขณะที่ K-USA มีน้ำหนักเพียง 48% ณ กลางเดือนธันวาคม 2024
ทั้งนี้ จะพบว่าแม้กองทุน SCB-USA จะมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าหากพิจารณาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ยามที่ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในช่วงขาลง อัตราผลตอบแทนของ SCB-USA ก็ลดลงแรงกว่าเช่นกัน
ในขณะที่ หากพิจารณาระหว่างกองทุน SCB-USA และ KF-US ซึ่งมี GQG Partners US Equity Fund เป็น Feeder Fund จะพบว่าเป็นไปในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือ SCB-USA มีเซกเตอร์สินค้าบริโภคแบบฟุ่มเฟือย ที่มีน้ำหนักสูงกว่าตลาด ในขณะที่ KF-US มีเซกเตอร์ Healthcare และ สินค้าที่จำเป็น มีน้ำหนักที่สูงกว่าตลาด ซึ่งแม้กองทุน SCB-USA จะมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าหากพิจารณาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ยามที่ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในช่วงขาลง อัตราผลตอบแทนก็ลดลงแรงกว่าเช่นกัน
โดยสรุปคือ คนอยากลงทุนกองทุนประหยัดภาษีในตลาดหุ้นสหรัฐทว่าชอบความเสี่ยงไม่มาก แนะนำ กองทุน KFGBRANRMF และ KFGBRANSSF ส่วนคนชอบความเสี่ยงปานกลาง แนะนำ KUSARMF, KFUSRMF และ KFUSSSF ด้านคนชอบเสี่ยงมากนิดนึง แนะนำ B-INNOTECHRMF รวมถึง SCBRMUSA(A) และ SCBUSA(SSF)
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
[MacroView]