เศรษฐกิจอินเดียปิดฉากปี 2024 ด้วยสัญญาณที่น่าประทับใจ หลังจากเริ่มมีการฟื้นตัวในเดือนธันวาคม โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น จากการสำรวจเบื้องต้นของ HSBC Holdings Plc ซึ่งเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่น่าสนใจ
ล่าสุด ดัชนีภาคบริการของอินเดียปรับตัวสูงขึ้นจาก 58.4 ในเดือนพฤศจิกายน เป็น 60.8 ในเดือนธันวาคม
ขณะที่ภาคการผลิตก็มีการขยายตัวเช่นกัน โดยดัชนี PMI เพิ่มจาก 56.5 เป็น 57.4 ส่งผลให้ดัชนีรวมทะยานขึ้นสู่ระดับ 60.7 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน และใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008
กิจกรรมทางเศรษฐกิจของอินเดีย | Source: Bloomberg, HSBC as of 16/12/24
ดัชนี PMI เป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของธุรกิจในเศรษฐกิจ ซึ่งอ้างอิงจากการสำรวจเบื้องต้น หากค่า PMI สูงกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจขยายตัว แต่หากต่ำกว่า 50 จะหมายถึงการหดตัวของเศรษฐกิจ
Ines Lam นักเศรษฐศาสตร์จาก HSBC ได้ให้ความเห็นว่า
“การเพิ่มขึ้นของ PMI ภาคการผลิตเกิดจากการเติบโตของการผลิต คำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวของคำสั่งซื้อภายในประเทศที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงโมเมนตัมการเติบโตที่กำลังฟื้นตัว”
ย้อนกลับไปในช่วงไตรมาส 3 ปี 2024 เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเพียง 5.4% เนื่องจากการลดลงของค่าแรงและกำไรบริษัท แต่ “ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่มีความถี่สูง” (High Frequency Indicators: ดัชนีหรือข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการอัปเดตบ่อย ๆ ใช้เพื่อสะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระยะสั้น) แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในชนบท
ปัจจุบัน ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมเป็นเวลาเกือบ 2 ปี แต่คาดการณ์ว่าภายใต้การนำของ Sanjay Malhotra ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียคนใหม่ จะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการในปีหน้า
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในเดือนธันวาคมยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยบริษัทภาคเอกชนยังคงขยายขีดความสามารถในการดำเนินงาน ด้วยการจ้างงานพนักงานเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความหวัง
กองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำโดย Finnomena Funds
Finnomena Funds แนะนำกองทุน B-BHARATA กองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น ตามคำแนะนำ Mr.Messenger Call
และกองทุน TISCOINA-A กองทุนรวมหุ้นอินเดียซึ่งเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management และคัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up โดยลงทุนผ่าน 3 กองทุนหลักในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ตามคำแนะนำ FundTalk Call และ Mr.Messenger Call
โดย 3 กองทุนหลักที่ TISCOINA-A เข้าลงทุนได้แก่
- Nomura Funds Ireland plc India Equity Fund คัดเลือกหุ้นจากพื้นฐานเป็นหลัก ประมาณ 25-30 ตัว จาก Universe ประมาณ 240 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่
- FSSA Indian Subcontinent Fund เน้นลงทุนในบริษัที่ประกอบธุรกิจในอินเดีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน และบังคลาเทศ โดยเน้นลงทุนประมาณ 50 ตัว กระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
- Goldman Sachs India Equity Portfolio เลือกหุ้นประมาณ 70-100 ตัว จาก Universe ประมาณ 700 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
อ้างอิง: Bloomberg, The Economic Times
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299