คดีดิไอคอนที่อาจเป็นเรื่องฉ้อฉลหลอกลวงประชาชนจำนวนมากที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ดูเหมือนว่าจะใช้โมเดลหรือรูปแบบ “แชร์ลูกโซ่” โดยที่ “นักล่า” ออกแบบให้คล้ายกับการ “ขายตรงหลายชั้น” ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงามซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสมาตลอด และก็เป็นระบบการขายที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย มีการทำกันไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงก็คือ สินค้านั้น ขายได้จริงหรือเป็นแค่อุปกรณ์ประกอบในการหลอกลวง นั่นเป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์กันต่อไป
ประเด็นก็คือ ผู้บริหารหลักหรือ “บอส” นั้น เป็นผู้ที่ทำเงินได้มากที่สุดและเป็น “นักล่า” ในความหมายของบทความนี้ กลุ่มที่เป็น “แม่ทีม” ที่เป็น “รายใหญ่” ในเครือข่ายการขายตั้งแต่แรกก็คงคิดว่าตนเองเป็น “นักล่า” ที่จะได้เงินจากกิจกรรมนี้ กลุ่มสุดท้ายที่เป็น “ลูกทีม” นั้น ถ้ามองจากคนภายนอกที่เป็นนักวิเคราะห์ก็คือ “เหยื่อ” แม้ว่าเจ้าตัวจะคิดว่าตนเองก็เป็น “นักล่า” เช่นเดียวกัน
แต่ผลสุดท้าย เหล่าบอส “นักล่า” ที่ใช้กลเกมฉ้อฉลหลอกล่อ “เหยื่อ” คือบรรดาลูกทีมทั้งหลายก็พลาดท่า กลับกลายเป็น “เหยื่อ” คือถูกจับและกล่าวโทษ เงินทองทั้งหลายคงถูกยึดไปหมดและอาจจะต้องโทษรุนแรงในที่สุด
อีกคดีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับทนายหลายคน ซึ่งเคยเป็นทนายที่มีชื่อเสียง มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ และมีบทบาทในฐานะที่เป็นผู้ปราบ “คนร้าย” เพี่อ “ผดุงความยุติธรรม” ซึ่งในบทความนี้ผมเรียกว่าเป็น “นักล่า” นั้น อยู่ ๆ ในเวลาแทบจะแค่ “ข้ามคืน” กลับกลายเป็น “เหยื่อ” ที่กำลังถูกกล่าวโทษและถูกจำคุก โดย “เหยื่อ” ที่กลายเป็น “นักล่า”
ในวงการหุ้นเองนั้น ปรากฎการณ์นักล่า กับเหยื่อ ก็เกิดขึ้นบ่อยมาก โดยเฉพาะในหุ้นที่มีการ Corner หรือหุ้นที่มี Free Float ต่ำที่ถูกนักลงทุนรายใหญ่บางคนหรือบางกลุ่มเข้าไปกวาดซื้อเพื่อดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปเกินพื้นฐานมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้น
นักล่าก็คือคนที่คอร์เนอร์หุ้น ซึ่งมีกระบวนการหลายอย่างรวมถึงการเผยแพร่บทวิเคราะห์หรือความเห็นของ “เซียน” ที่บอกว่าหุ้นนั้นกำลังมีผลงานดีสุดยอดในด้านของพื้นฐาน บริษัทมีความแข็งแกร่งโดดเด่นและยอดขายจะโตระเบิดจากสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยที่สุดในขณะนั้น
ที่สำคัญที่สุดในกระบวนการก็คือ คนที่รู้เรื่องดีที่สุดซึ่งบ่อยครั้งก็รวมถึงผู้บริหารและเซียนหรือนักลงทุนรายใหญ่ต่างก็เข้าไประดมซื้อหุ้นอย่างรุนแรงซึ่งทำให้ราคาหุ้นขึ้นไประดับหนึ่งก่อนที่จะมีประกาศงบการเงินที่ดูดีและเติบโตขึ้นมาก
หลังจากนั้น คนกลุ่มที่สองที่ก็อาจจะเป็นรายใหญ่พอสมควร แต่ไม่ใช่นักคอร์เนอร์ ก็จะเข้ามาร่วมและดันให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วขึ้นไปอีกพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอย่างผิดสังเกตในเวลาอันสั้น อาการของหุ้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากหุ้นที่ราคาไม่ค่อยเคลื่อนไหวและปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง กลายเป็นหุ้นที่คึกคัก ราคาวิ่งขึ้นเป็นหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์หรือบางทีเกิน 10% ต่อวัน ปริมาณการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นบางทีเป็น 10 เท่าโดยที่ไม่มีข่าวสำคัญอะไรกับตัวบริษัท คนกลุ่มนี้ผมเรียกว่าเป็น “นักล่าระดับรอง”
กลุ่มสุดท้ายคือนักเล่นหุ้นรายย่อยและเล่นหุ้นแบบวันต่อวันเป็น “Day Trader” ที่มักคิดว่าตนเองเป็น “นักล่า” แต่อาจจะ “ล่าหาค่ากับข้าว” แต่ที่จริงแล้วก็เป็น “เหยื่อ” เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีจำนวนมาก การเข้าไปซื้อขายหุ้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแบบติดจรวด หุ้นถูกคอร์เนอร์รุนแรง ราคาหุ้นขึ้นไปหลายเท่าในเวลาอันสั้น ค่า PE ของหุ้นขึ้นไปบางที 30-40 เท่า บางตัวขึ้นถึงเกือบ 100 เท่า มูลค่าตลาดของกิจการหรือ Market Cap. สูงเป็นหมื่นล้านบาทสำหรับกิจการขนาดเล็กที่ยอดขายอาจจะแค่หลักพันล้านบาท และในบางกรณีก็อาจสูงเป็น “ล้านล้านบาท” แม้ว่ากิจการอาจจะเป็นแค่ “หุ้นระดับกลาง”
ในระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำ หลายครั้งหุ้นที่ถูกโปรโมตว่าเป็นหุ้นในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” กลับแสดงผลงานที่น่าผิดหวังมาก หุ้นถูกขายทิ้งอย่างหนักทำให้ราคาตกต่ำลงอย่างกระทันหันแม้แต่คนที่ทำคอร์เนอร์เองก็ขายไม่ทัน สุดท้ายเมื่อราคาร่วงลงไปต่ำกว่าต้นทุนและบางกรณีถูกบังคับขายจากโบรกเกอร์ที่ปล่อยมาร์จิน หายนะก็บังเกิดขึ้น คนที่ทำคอร์เนอร์หุ้นหรือ “นักล่า” กลายเป็น “เหยื่อ” หรือเป็นคน “ถูกล่า”
เรื่องราวทั้งหมดของบทความนี้ คือความพยายามที่จะบอกว่า มนุษย์เรามีความโลภที่อยากจะได้เงินมาก ๆ อย่างรวดเร็วและมักจะใช้วิธีการที่จะ กินเงินหรือแย่งทรัพยากรจากคนอื่นในทุกวิถีทาง การฉ้อฉลหลอกลวงเป็นทางหนึ่งที่ทำได้ง่าย และวิธีทำที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดก็คือ การหลอกให้ “เหยื่อ” คิดว่าตนเองสามารถเป็น “นักล่า” ได้เช่นเดียวกันโดยทำแบบเดียวกับนักล่า ซึ่งก็จะได้เงินและสามารถใช้ชีวิตที่หรูหราแบบเดียวกับนักล่า
อย่างไรก็ตาม ในหลายครั้งและในบางสถานการณ์ “ความผิดพลาด” ก็เกิดขึ้นได้ ในชั่วข้ามคืน นักล่ากลับมีชีวิตที่พลิกผัน กลายเป็นคนที่เสียหายอย่างรุนแรงที่สุด กลายเป็นเหยื่อที่มี “นักล่า” ทั้งตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมาก และก็อาจจะมีนักล่าตัวใหญ่ด้วย
เข้ามารุมล่า “เหยื่อ” ที่เคยเป็น “นักล่า” ตัวใหญ่อย่างไร้ความปราณี
โดยส่วนตัวผมเองในฐานะของนักลงทุน ผมไม่ต้องการเป็น “นักล่า” ผมเป็น “สัตว์กินพืช” ที่โตช้า ๆ แต่มั่นคง ที่พยายามหลีกเลี่ยงนักล่า ผมไม่อยากเป็น “เหยื่อ” ดังนั้น สิ่งที่ทำก็คือ ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นเหล่านั้นไม่ว่าคนเขาจะบอกว่ามันดีแค่ไหน