อเบอร์ดีนคาด มูลค่าของตลาดหุ้นจีนและอินเดียอาจโต 4 เท่า ภายในปี 2050 เปลี่ยนจากประเทศล้าหลังสู่ ‘ผู้นำโลก’ แต่ตกอยู่ในอันตรายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในจดหมายครบรอบ 30 ปีของการเปิดสำนักงานแห่งแรกในเอเชีย Stephen Bird ซีอีโอของอเบอร์ดีนได้ยกย่องการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาว่าทำให้ผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคน หลุดพ้นจากความยากจน
ตอนนี้ภูมิภาคเอเชียครองส่วนแบ่งของเศรษฐกิจโลกมากกว่าช่วงวิกฤติการเงินปี 2540 ถึง 8 เท่า ขณะที่ตลาดทุนก็มีวิวัฒนาการ โดยเปลี่ยนจากจุดหมายปลายทางสำหรับนักลงทุนต่างชาติ มาเป็นตลาดที่นักลงทุนในประเทศครองตลาด
สำหรับนักลงทุน ซีอีโอของอเบอร์ดีนแนะนำให้ใจเย็นในช่วงที่มีความผันผวนโดยจับตาดูเกมระยะยาว เพราะอีก 30 ปีข้างหน้า มันจะดูน่าตื่นเต้นราวกับเป็นครั้งสุดท้าย
Stephen Bird คาดการณ์ว่า ในทศวรรษหน้า จีนจะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และอินเดียจะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลก นั่นจะทำให้ผู้บริโภคในจีนและอินเดียกลายมาเป็นผู้กำหนดรสนิยมและเทรนด์ของโลกมากขึ้น ซึ่งมูลค่าตลาดทุนของจีนและอินเดียอาจโต 4 เท่าหรือมากกว่านั้น ภายในปี 2050
ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียก็มีโอกาสที่น่าตื่นเต้นเช่นกัน Stephen Bird มองว่า บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตสูงที่สุดในโลก ขณะที่ประชากรสูงอายุของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังเก็บออมเงินจำนวนมาก และสิงคโปร์จะเป็นหัวใจของทุกสิ่งในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกที่เปิดกว้างที่สุดในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม อเบอร์ดีนมองว่า การเติบโตไม่น่าเป็นไปแบบคงที่ เพราะโลกาภิวัตน์ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเอเชียตกอยู่ในอันตรายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะนำไปสู่ ‘ความท้าทายแบบเฉียบพลัน’
Stephen Bird กล่าวว่า ช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา การเติบโตในเอเชียมีส่วนสำคัญในการเพิ่มคาร์บอนทั่วโลก เห็นได้ชัดเจนจากทั้งมลพิษทางอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ภูมิภาคเอเชียไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้โดยลำพัง Stephen Bird แนะนำให้ประเทศเศรษฐกิจหลักหาวิธีแยกการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และนำเป้าหมาย ‘คาร์บอนเป็นศูนย์’ มาใช้
——————-
- Facebook: https://finno.me/the-opp-fb
- Youtube: https://finno.me/youtube-channel