สำนักสถิติแรงงานของสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เพิ่มขึ้น 8.3% จากปีที่แล้ว สูงกว่าคาดการณ์ที่ 8.1% แม้จะชะลอตัวเล็กน้อยจากเดือน มี.ค. แต่ยังคงใกล้เคียงกับระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1982

ขณะที่ดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เพิ่มขึ้น 6.2% สูงกว่าคาดการณ์ที่ 6% ท่ามกลางความคาดหวังของตลาดว่า จุดสูงสุดของเงินเฟ้อผ่านไปแล้วในเดือน มี.ค.

สำหรับการเพิ่มขึ้นแบบรายเดือน (MoM) เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.3% สูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.2% และเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.6% สูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.4%

ราคาที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อแรงงาน ในเดือน เม.ย. แม้รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นมา 0.3% แต่ค่าจ้างที่แท้จริงลดลง 0.1% และในปีที่ผ่านมา แม้รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงจะเพิ่มขึ้น 5.5% ก็ตาม แต่รายได้ที่แท้จริงลดลงถึง 2.6%

ตอนนี้เงินเฟ้อคือภัยคุกคามใหญ่ที่สุดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดใหญ่ ก่อนหน้านี้เศรษฐกิจในปี 2021 สามารถเติบโตในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1984 แต่ตอนนี้ราคาที่สูงขึ้นได้แผ่ขยายออกจากปั๊มและร้านขายของชำ ไปสู่ที่อยู่อาศัย รถยนต์ และภาคส่วนอื่นๆ

Fed ได้ต่อสู้กับเงินเฟ้อดัวยการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว 2 ครั้งในปีนี้ พร้อมให้คำมั่นว่าจะขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าเงินเฟ้อเป้าหมายจะลงมาอยู่ที่ระดับ 2% แต่ตัวเลขเงินเฟ้อในเดือน เม.ย. ชี้ว่า Fed มีงานใหญ่รออยู่ข้างหน้า

แม้ราคาพลังงานลดลง 2.7% ในเดือนเม.ย. แต่ Kathy Jones จาก Charles Schwab มองว่า พลังงานลดลงเล็กน้อย แต่ยังไม่มากพอที่จะลดความเข้มงวดของ Fed ลงได้

เมื่อคืนนี้ (11 พ.ค.) ตลาดหุ้นปิดลบรับข่าวดังกล่าว Dow Jones ลดลง 1.02% S&P 500 ลดลง 1.65% และ Nasdaq ร่วง 3.18% ขณะที่ บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ใกล้เคียงกับระดับ 3.02%

Seema Shah หัวหน้านักยุทธศาสตร์ของ Principal Global Investors กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อในเดือน เม.ย. เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ และชี้ว่าการชะลอตัวของเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นช้าลงมาก

อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/05/11/cpi-april-2022.html 

——————-