ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ จนถึงตอนนี้ มีอะไรเป็นปัจจัยต่อตลาดหุ้นวันจันทร์บ้าง?
☞ Dow Jones ปรับตัวลง -200 กว่าจุด ทำให้ปิดสัปดาห์ ร่วงไป -3.5% ยุติการปรับตัวขึ้นมา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน หลักๆ เพราะตลาดกังวลเรื่องที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดันไหลลงทำ Lower Low เรื่อยๆ อาจจะกระทบกับกำไรสุทธิของบริษัทในกลุ่มมากกว่าที่คาดไว้ บวกกับตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ต.ค. ของสหรัฐฯ ขยายตัวแค่ 0.1% เทียบกับที่ตลาดคาดไว้ 0.3%
☞ ส่วนดัชนี STOXX ของยุโรป ปิดสัปดาห์ที่แล้วร่วงไป -2.7% หลังประกาศตัวเลข GDP ออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ (อาจผิดหวังเล็กน้อยในบางมุม)
☞ Loretta Mester ประธานเฟดสาขา Cleverland ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ออกมายืนยันว่า ตัวเลขเศรษฐกิจและ Momentum ที่เห็นอยู่ ณ ตอนนี้ ถือว่า เฟด พร้อมที่จะเริ่มการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งหน้าได้แล้ว
☞ หลังตลาดสหรัฐฯปิดวันศุกร์ ก็มีเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่ฝรั่งเศส ยอดผู้เสียชีวิตกว่า 100 ราย ประเด็นนี้ ยังไม่มีตลาดใดในโลก Price – in เข้าไป
☞ และยังมีอีกข่าว เรื่องที่ กลต. จีน ประกาศ เพิ่มหลักประกันการกู้ยืมเพื่อการซื้อหลักทรัพย์จากเดิม 50% เป็น 100% … เพื่อหวังลดการเก็งกำไรที่น่าจะยังมีอยู่ในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่
เหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่ฝรั่งเศส ครั้งนี้ New York Times รายงานว่า เป็นเหตุการณ์รุนแรงที่สุดที่โลกตะวันตกเผชิญ นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ผมขอพาไปดูเหตุการ์ในอดีตที่เกี่ยวกับการก่อวินาศกรรม กับการเคลื่อนไหวของหุ้นในแต่ละช่วงเพื่อการเทียบเคียง
เหตุกาณ์ 9/11
เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2001 (14 ปีที่แล้ว) เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงเช้าก่อนที่ตลาดหุ้น NYSE จะเปิดตลาดเพียงเล็กน้อย ในวันนั้น S&P500 ร่วงไป -7.1% ถือเป็นการร่วงแรงที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯภายในวันเดียว และความ Panic ยังไม่หมดไปหลังจากนั้น โดยปิดสัปดาห์ลบไปถึง -14% หุ้นกลุ่มหลักๆที่ถูกเทขาย ณ ตอนนั้นคือ กลุ่มสายการบิน และกลุ่มประกันภัย อย่างไรก็ตาม S&P500 ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 3 สัปดาห์หลังจากนั้นในการกลับมายืนที่เดิมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์
ส่วนหุ้นไทย ร่วงจาก 340 จุด ลงไปปิดสัปดาห์ที่ 288 จุด หรือ -15% และกว่าจะกลับไปยืนที่เดิมได้อีกครั้ง ก็ต้องผ่านปีใหม่ของปี 2002 ไปแล้ว
เหตุกาณณ์ กราดยิง สื่อฝรั่งเศส “ชาร์ลี เอ็บโด” เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2015
ตลาดหุ้น CAC40 ของฝรั่งเศสตอนนั้น ร่วงไป -3.4% แล้วก็ดีดกลับภายในสัปดาห์ ก่อนจะดีดแรงกลายเป็นขาขึ้นถึง 1 ไตรมาสทำจุดสูงสุดในเดือน เม.ย.
ครั้งนั้นหุ้นไทยร่วงในสัปดาห์ จาก 1,500 จุด ลงไปที่ 1,459 จุด หรือร่วงราวๆ -2.7% แล้วดีดกลับขึ้นมาทันทีในสัปดาห์เดียวกัน
เหตุการณ์วางระเบิดราชประสงค์ วันที่ 17 ส.ค. 2015
เหตุเกิดในช่วงเย็นของวันที่ 17 ส.ค. 2015 ซึ่งเป็นวันจันทร์ ตลาดมีเวลารับรู้และประเมินสถานการณ์เพียงแค่วันเดียว ตลาดหุ้นไทยวันอังคารเปิดมา ลบไป -38 จุด แต่เทรดอยู่บริเวณไม่มีเด้งกลับ เพราะปัญหาจากปัจจัยภายนอกก็รุมเร้าเช่นกันโดยเฉพาะประเด็นเรื่องเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง ตลาดมี Panic ทั่วโลกอีกทีวันที่ 24-25 ส.ค. SET Index ทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1,292 จุด
มุมมองความเห็นส่วนตัว
✍ เหตุการณ์ครั้งนี้ จริงๆแล้วเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ เนื่องจากอยู่ในคนละบริบทกัน ดังนั้นควรดูปัจจัยอื่นประกอบ
✍ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในฝรั่งเศส ถือว่ามีความสำคัญที่ดันให้ GDP Growth กลับขึ้นมาเหนือ 0% ดังนั้น เหตุการณ์นี้ มีความเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจฝรั่งเศสในระยะกลาง
✍ แต่หากดูผลกระทบจากการก่อวินาศกรรมในอดีต จะพบว่า หากไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นซ้ำในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน พบว่าเศรษฐกิจกลับมาฟื้นได้ค่อนข้างรวดเร็ว และมีผลต่อตลาดหุ้นแค่เพียงในระยะสั้นเท่านั้น (เมื่อปัจจัยอื่นๆคงที่)
✍ ตลาดที่จะถูกเป็นเป้าโจมตี น่าจะเป็นค่าเงิน EUR มากกว่า จากที่เหล่า Hedge Fund เร่งการสะสม Short Position เพื่อหวังมาตรการ QE ที่น่าจะมีในเดือน ธ.ค. อยู่แล้ว ยิ่งน่าจะมีแรงขายหนักมากขึ้นไปอีก รวมถึง Commodity Futures ด้วย
✍ ผลจากเหตุการณ์ที่ฝรั่งเศส น่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยไม่มาก แต่ เรื่องการเพิ่มหลักประกันการกู้ยืมเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ในจีน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นจีนเอง รวมถึง ฮ่องกง ในเช้าวันจันทร์แน่นอน
✍ หากเทียบกับเหตุการณ์ในอดีค การปรับตัวลงในสัปดาห์หน้า (ถ้าเกิดขึ้น) จะเป็นโอกาสในการทยอยสะสม แนวรับหุ้นไทยที่ 1,380 (ตรงนี้ น่าจะหลุด เพราะเหลืออีกแค่ 2 จุดเท่านั้น) / 1,340 จุด