การประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์โดยการแยกธุรกิจแบงก์และธุรกิจอื่น ๆ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจที่เกี่ยวกับ “ฟินเทค” ที่เป็นเรื่องของ “แพลตฟอร์ม” และธุรกิจเวนเจอร์แคปปิตอลที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหลายออกจากกันและทุกบริษัทอยู่ภายใต้บริษัทใหม่ชื่อ SCBX ซึ่งจะเป็น “ยานแม่” หรือเป็น Holding Company แทนธนาคารไทยพาณิชย์ที่จะถูกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไปนั้น ก่อให้เกิด “แรงกระเพื่อม” ในตลาดหุ้นอย่างแรง เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ หุ้น SCB ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 20% หุ้นแบงก์ขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดปรับตัวขึ้นไล่ตั้งแต่แบงก์ที่มีการพัฒนาทางด้านเกี่ยวกับฟินเทคมากที่ปรับตัวขึ้นประมาณ 7-8% และแบงก์ที่ไม่ได้เน้นการพัฒนาสู่การเป็นดิจิทัลมากนักก็ยังปรับตัวขึ้น 3-4%
นอกจากแบงก์แล้ว หุ้นที่เกี่ยวข้องหรืออยู่ในเกมการแข่งขันทางด้านของฟินเทคในตลาดหลักทรัพย์ก็มีการปรับตัวสะท้อนต่อการก้าวเข้ามาสู่การเป็นบริษัท “เทคคอมปะนี” เต็มตัวของไทยพาณิชย์ด้วย เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ บริษัทปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลขนาดใหญ่ทุกบริษัทที่มี Market Cap. สูงในระดับ “แสนล้านบาท” อานิสงค์จากการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ถูกกระทบด้วย ราคาหุ้นตกลงมาประมาณ 4-5% เช่นเดียวกับหุ้นที่ติดตามหนี้เสียส่วนบุคคลที่มีมูลค่าตลาดสูงลิ่วก็ตกลงมาในระดับเดียวกัน นอกจากนั้น หุ้นของบริษัทขนาดเล็ก-กลางหลายแห่งที่ทำเรื่องของฟินเทคหรือได้ประกาศเข้ามาในธุรกิจนี้ทั้งที่ไม่ได้เป็นสถาบันการเงินก็ตกลงมาประมาณ 4% เช่นเดียวกัน
นักลงทุนในตลาดหุ้นคงเชื่อว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะทำให้ธนาคารขนาดใหญ่โดยเฉพาะไทยพาณิชย์เปลี่ยนแปลงตัวเองแบบ “ปฎิวัติ” จากแบงก์เป็นบริษัทฟินเทคหรือเทคโนโลยีทางการเงินและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และนี่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วที่แบงก์ดั้งเดิมกำลังตกอยู่ในฐานะลำบากเนื่องจากการแข่งขันจากบริษัทเทคคอมปะนีขนาดใหญ่ที่เข้ามาให้บริการธุรกรรมทางการเงินแข่งกับแบงก์โดยอาศัยเครื่องมือดิจิทัลสมัยใหม่ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมตรงระหว่างผู้ที่ต้องการให้เงินกู้หรือโอนเงินกับคนที่ต้องการกู้เงินหรือรับเงิน เป็นต้น และนี่ก็คือสิ่งที่อาจจะทำลายแบงก์ได้ในที่สุด
ดังนั้น ไทยพาณิชย์จึงตัดสินใจที่จะ “Disrupt” ตัวเองก่อนที่จะถูกทำลายโดยบริษัทเทคทั้งหลายที่อาจจะมาจากทั้งภายในและต่างประเทศ โดยที่ภายในก็อาจจะรวมถึงบริษัทที่ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและบริษัทอื่น ๆ ที่กำลังเริ่มเข้ามาให้บริการโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่กล่าวถึง และนั่นก็คือเหตุผลที่หุ้นเหล่านั้นตกลงมาเมื่อ SCB ประกาศเข้ามาแข่งขันด้วย ส่วนหุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นนั้นน่าจะเป็นเพราะนักลงทุนเชื่อว่าในไม่ช้าแบงก์อื่นก็คงต้องทำตามไทยพาณิชย์ในแง่ที่ต้องก้าวเข้ามาทำฟินเท็คแทนที่การทำแบงก์แบบดั้งเดิม แม้ว่าอาจจะไม่ถึงกับปรับโครงสร้างกิจการหรือบริษัททั้งหมด
คำถามสำคัญก็คือ ไทยพาณิชย์จะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจากการเป็น “นายแบงก์” มาเป็นผู้ประกอบการที่ทำ “สตาร์ทอัพ” ตามแผนที่วางไว้ได้หรือไม่?
ข้อได้เปรียบของไทยพาณิชย์ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ บริษัทมีธุรกิจแบงก์ขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรมากมายและมี “กำไรปกติ” ถึงปีละ 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถใช้ในการรองรับการทำธุรกิจแนวสตาร์ทอัพที่มักจะต้องขาดทุนหนักในช่วงหลายปีแรก เงินจำนวนมากขนาดนี้และมีความมั่นคงสูงระดับนี้ผมคิดว่าสามารถที่จะเข้ามาเล่นในระดับภูมิภาคเช่นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประชากรระดับ 600 ล้านคนได้ และนี่ก็คือเป้าหมายของไทยพาณิชย์ที่ประกาศว่าอยากจะมีลูกค้าเพิ่มจาก 16 ล้านรายในประเทศไทยเป็นประมาณ 200 ล้านคนในย่านอาเซียน เฉพาะอย่างยิ่งจากอินโดนีเซียและเวียตนามที่มีคนจำนวนมากและเศรษฐกิจกำลังโตเร็วมาก
ข้อได้เปรียบเรื่องที่สองก็คือ การที่เป็น “ผู้นำ” ที่ประกาศบุกธุรกิจยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัวรวมถึงการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทเพื่อให้พร้อมที่จะทำธุรกิจเหล่านั้นทำให้สามารถจับ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ที่เป็นผู้นำที่ให้บริการระบบโทรศัพท์มือถือและ/หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและให้บริการเกี่ยวกับฟินเทคหรือธุรกิจดิจิตอลอื่น ๆ อยู่แล้วแต่ยังมีขนาดเล็กในตลาดเป้าหมาย เป็นต้น อย่าลืมว่า ในธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งหลายนั้น การเป็นผู้นำและการบุกอย่างรวดเร็วนั้น เป็นปัจจัยสำคัญมากต่อความสำเร็จในธุรกิจ
ข้อเสียเปรียบของไทยพาณิชย์หรือว่าที่จริงก็คือแบ้งค์แบบดั้งเดิมทุกแบงก์ในการเข้ามาทำธุรกิจสตาร์ทอัพก็คือเรื่องของวัฒนธรรมขององค์กรและของพนักงาน ประเด็นแรกก็คืออายุของผู้บริหารนั้นน่าจะค่อนข้างสูงค่าที่ว่าเป็นธนาคารที่เก่าแก่และผู้บริหารส่วนใหญ่นั้นอยู่กับธนาคารมานาน การที่จะคิดหรือตัดสินใจต่าง ๆ ก็อาจจะ “ตามของใหม่ไม่ทัน” นอกจากนั้น นายแบงก์ส่วนใหญ่นั้นมักจะมีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมและกลัวความเสี่ยงมากกว่าคนที่ทำสตาร์ทอัพซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่า รวมถึงกล้าที่จะรับความเสี่ยงมากกว่าปกติ
ทางแก้ของแบงก์ก็คือการนำบุคลากรรุ่นใหม่เข้ามาทำงานแบบใหม่ จากภายนอก แต่นี่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะถ้าพนักงานส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นพนักงานแบงก์เดิมที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมเดิม ทางแก้อีกทางหนึ่งก็คือการ “เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม” ในด้านของความคิดและการทำงานผ่านผู้นำใหม่ที่จะต้อง “ปฏิวัติ” องค์กรใหม่ แต่นี่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนผมก็ยังสงสัย เพราะการเปลี่ยนแปลงสำหรับคนที่มีอายุและประสบการณ์ในชีวิตมากซึ่งก็มักจะมีภาระต่าง ๆ เช่นเรื่องของครอบครัวซึ่งต้องรับผิดชอบมากกว่าคนรุ่นใหม่ ความเคยชินที่ทำแบบเดิมมาตลอดชีวิต จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เอาง่าย ๆ แค่ว่าจะให้คนที่ทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นมาตลอดแต่ต้องมาทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำแบบธุรกิจสตาร์ทอัพนั้นจะทำได้แค่ไหน?
จากประสบการณ์ทั่วโลกนั้น บริษัทสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จแทบทั้งหมดมักเกิดจากผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทที่จะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเมื่อกิจการประสบความสำเร็จ การทำงานในฐานะลูกจ้างในบริษัทใหญ่ที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นที่มีนัยสำคัญนั้นน่าจะเป็นไปได้ยากมาก เหนือสิ่งอื่นใด ในสมัยนี้ถ้าคุณเก่งก่อตั้งสตาร์ทอัพและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ การหาเงินหรือระดมเงินมาสนับสนุนกิจการโดยการขายหุ้นก็ทำได้ไม่ยาก ดังนั้น การเป็นบริษัทขนาดใหญ่จึงอาจจะไม่เป็นข้อได้เปรียบที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลยุคใหม่จริง ๆ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้แต่บริษัทเทคคอมปะนีขนาดใหญ่ของโลกนั้น จึงต้องอาศัยการซื้อบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กเพื่อนำไปขยายงานหรือขยายลูกค้าต่อไปแทนที่จะเข้าไปแข่งขันกับผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีความคิดสร้างสรรค์และความทุ่มเทที่สูงกว่า
ข้อเสียเปรียบประเด็นสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ ในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แบงก์ต้องการจะสร้างฟินเทคมาแทนที่ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของแบงค์นั้น ผลกระทบแรกก็คือ ทำให้แบงก์เสียประโยชน์ มันเหมือนกับว่าแบงก์จะ Disrupt ตัวเอง หรือในกรณีที่มีการแตกบริษัทออกมาก็เป็นเหมือนกับการพยายามทำลาย “บริษัทพี่น้อง” ของตนเอง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้บริษัท “แม่” ทำใจได้ยากและจึงทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น “ไม่เกิด” ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ทำ E-Commerce ที่เป็นผู้ชนะนั้น มักไม่ได้มาจากบริษัทที่ขายสินค้าแบบดั้งเดิมที่ใหญ่โต เหตุผลน่าจะเป็นว่า เวลาพวกเขาคิดจะทำ เขาก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มัน “กินตนเอง” ในขณะที่บริษัทที่ไม่เคยทำค้าขายแบบดั้งเดิมนั้น พวกเขาจะคิดแต่ว่าจะ “ฆ่า” การทำธุรกิจแบบเก่าได้อย่างไรและเขาก็ทำออกมาและก็ชนะ
โดยส่วนตัวนั้น ผมคาดไม่ได้ว่าการเปลี่ยนไปเป็น “เทคคอมปะนี” ของ SCB ครั้งนี้จะประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่ก็รู้สึกชื่นชมบริษัทที่ “กล้าที่จะทำ” และในอนาคตถ้าสำเร็จ ประเทศไทยก็จะสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกขั้นหนึ่งและกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ จากเดิมที่ผมเกรงว่าเราจะก้าวต่อไปไม่ไหวเพราะบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของไทยหลังโควิด-19 แล้วก็ยังเป็นบริษัทเดิม ๆ และทำแบบเดิม
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/09/27/2566