1,850 ไม่ใช่เป้าหมายของ SET Index แต่มันคือยอดเงินในบัญชี Mobile Banking ส่วนตัวของผมในตอนนี้
ผมมองยอดเงินนี้ด้วยความชื่นใจ เพราะมันสามารถนำไปอุดหนุนอาหาร Delivery จากร้านอาหารที่ผมอยากช่วยได้อีกหลายวัน และหลายร้าน (วันละมื้อ วันละร้าน)
ผมคิดคำนวณในใจเมื่อเงินก้อนนี้หมดลง ก็จะพอดีกับที่ผมจะได้เงินก้อนใหม่ในอีก 5-7 วันข้างหน้า จากส่วนแบ่งรายได้ของ Facebook และเงินจากการสอนพิเศษ
เมื่อได้เงินก้อนใหม่มา ผมจะประมาณการค่าใช้จ่ายส่วนตัวจากวันนี้ไปจนถึงวันเสาร์ถัดไปว่าเป็นเท่าไร ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะอยู่ที่ราว ๆ 2 พันบาทต่อรอบ เมื่อหักออกจากรายได้ของการสอนพิเศษที่จะได้ทุกวันเสาร์ จะยังคงมีเงินเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง ผมจะรีบทำการโอนเงินทั้งหมดไปยังบัญชีเงินเก็บประเภท offline เพื่อป้องก้นความเสี่ยงต่าง ๆ
เช่นเดียวกับรายได้อื่น ๆ ทั้งจากงานประจำ งานสอน งานบรรยาย ผมจะมีแผนที่ชัดเจนว่าจะต้องเก็บเข้าบัญชีเงินเก็บเท่าไร ต้องแบ่งไปลงทุนสินทรัพย์ต่าง ๆ เท่าไร เมื่อได้รับเงินมา ผมจะแยกส่วนและโอนทันที
จนบัญชีเงินเดือนเหลือเงินไม่ถึง 10 บาทตลอดเวลา
ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่ในสินทรัพย์นั้น ๆ เพื่อให้เกิดการลงทุนทบต้นต่อเนื่อง
ส่วนรายได้ของธุรกิจส่วนตัวที่ได้รับในแต่ล่ะเดือน ผมจะกันไว้ส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวใน 1 เดือนข้างหน้า ที่เหลือจะทำการโอนเข้าบัญชีภรรยา
ดังนั้นบัญชี Mobile Banking ของผมและของครอบครัว จึงมียอดเงินที่พอดีกับค่าใช้จ่ายในอีก 1 สัปดาห์และ 1 เดือนข้างหน้าเท่านั้น หากจะต้องมีการใช้เงินนอกเหนือจากที่ประเมิน ผมเลือกที่จะใช้บัตรเครดิตเพื่อสะสมแต้มไว้แลกของ
วินัยทางการเงินนี้ผมปฎิบัติมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี ซึ่งตอนนั้นผมมีรายได้จากการสอนพิเศษเพียงอย่างเดียว ผมต้องวางแผนหาเงิน เพื่อนำมาจ่ายค่าเทอม และต้องตั้งเป้าหมายในการเก็บเงิน เหลือจากการเก็บถึงจะเป็นเงินไว้ใช้จ่าย
ผมยังจำความรู้สึกของการเก็บเงินไว้ในลิ้นชักโต๊ะ จากหลักร้อยจนเป็นหลักหมื่นได้ดี ว่ามันยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน
เมื่อเริ่มทำงานประจำ ผมยังคงสอนพิเศษต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวเองมีรายได้หลายทาง รายได้จากงานประจำผมเลือกที่จะให้คุณพรพรรณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งคือเป็นเงินเก็บ ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัวผมใช้เงินจากค่าสอนพิเศษ
เมื่อมีครอบครัว ผมจึงต้องมีธุรกิจที่รองรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของครอบครัว ซึ่งจะต้องเพียงพอ และไม่ไปปนกับงานประจำที่ทำอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ในวันที่การทำงานประจำเกิดมีปัญหาจนต้องตกงาน ครอบครัวก็จะไม่ต้องเดือดร้อนเพราะมีธุรกิจรองรับ
ด้วยวินัยการเงินทำให้ผมต้องเผื่อความเสี่ยงในอนาคตไว้ตลอดเวลา เผื่อตกงาน เผื่อป่วย เผื่อเศรษฐกิจย่ำแย่ เผื่อ เผื่อ และก็เผื่อ
ความเผื่อทำให้ผมไม่ก่อหนี้ใด ๆ จนเกินกว่าที่ตัวเองจะมีเงินสดรองรับได้ และความเผื่อนี่เองที่ทำให้ผมระมัดระวังการใช้เงินมาก ๆ
ดังนั้นสถานะทางการเงินของผมจึงเป็นลักษณะ มีเท่าที่ต้องใช้ และ ใช้เท่าที่จะมีงบ เท่านั้น
การมีงบประมาณ มันแตกต่างจากการมีเงิน การมีเงินไม่ได้หมายความว่าต้องมีงบสูง งบประมาณคือส่วนที่เตรียมไว้สำหรับการใช้จ่ายให้พอดี ไม่มากไม่น้อยไป
มันเป็นแบบนี้มาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ผมในวัย 41 ปีตอนนี้ ไม่มีอะไรให้หวือหวา สิ่งที่มีคือเพียงพอต่อความสุขและความปลอดภัยของครอบครัว
หน้า Facebook และ Instagram ส่วนตัวของผมจึงนิ่งสงัด ผมแทบไม่มีอะไรให้ update และทำให้ผมแทบไม่รู้ความเคลื่อนไหวใด ๆ ของคนรอบข้างมากนัก
ผมใช้งาน Facebook สำหรับการทำ Fan page เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทำงานทั้งงานประจำและธุรกิจส่วนตัวเท่านั้น
ชีวิตผมจึงไม่มีอะไรต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ รอบตัว (เพราะไม่มีอะไรให้ไปเปรียบ) เมื่อไม่มีอะไรเปรียบเทียบ มันก็ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาใคร
การเปรียบเทียบ และความอิจฉา มันเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ และมันมีทั้งด้านที่เป็นบวก และด้านที่เป็นลบ
ด้านบวก คือจะช่วยผลักดันให้มีความทะเยอทะยาน ให้มีเป้าหมาย เป็นให้ได้ มีให้ได้ อย่างคนที่เราอิจฉา
แต่ด้านลบ เมื่อมีได้อย่างคนที่เราอิจฉา มันก็ยังมีคนอื่นให้อิจฉาอีกมากมาย ทำให้เราอยากมีอยากได้ไม่รู้จบ และถ้าเมื่อไรที่เราไม่สามารถมีได้อย่างคนอื่น เราก็จะอยากฉุดให้เค้าต่ำหรือแย่ลงมาใกล้เราให้มากที่สุด
มนุษย์จึงมักชอบพูดถึงคนอื่นในแง่ลบ และมักจะมีความสุขจากการได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น และเป็นทุกข์เมื่อคนรอบข้างที่รู้จักมีความสุขมากกว่าตัวเอง
เมื่อเราอิจฉาคนอื่น เราจึงอยากให้คนอื่นมาอิจฉาเรา มันถึงได้มีการอวด Lifestyle ชีวิตดี ๆ บ้านสวย ๆ รถหรู ๆ พอร์ตหุ้นสวย ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย
คนที่มีทรัพย์สินเงินทองเยอะจริง ๆ หากจะมีชีวิตดี ๆ ให้คนอื่นชื่นชมมันก็คงไม่แปลกอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่มี หรือมีไม่จริง เมื่อถูกความอิจฉาเข้าครอบงำ อาจทำอะไรเกินตัว ขาดวินัยการเงิน ก่อหนี้ยืมสิน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อวดรวยโดยไม่จำเป็น หรือแย่ไปกว่านั้นคือหนักถึงขั้นไปก่อคดีฉ้อโกงต่าง ๆ
การทำให้คนอื่นอิจฉา มันเป็นแค่ความสุขเพียงแค่ชั่วคราว ความพยายามที่จะให้คนอื่นมาอิจฉา มันไม่มีวันถึงที่สุด และจะสร้างความทุกข์แบบไม่จบไม่สิ้น
ความอิจฉาจึงไม่ใช่ตัวสร้างความสุขที่แท้จริง
แต่ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการไม่มีความอิจฉาในใจเลยต่างหาก
“ชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้” (โรม 12:15) คำสอนจากำระคัมภีร์ไบเบิลข้อนี้ ถ้าทำได้มันคือการยกระดับจิตใจให้เข้าใกล้ความเป็นคนที่ดีได้มากขึ้น
การอยากเห็นคนอื่นมีความสุข แล้วรู้สึกทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อน สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์
วินัยทางการเงิน จะทำให้เราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร วินัยทางการเงินจะช่วยให้เราสามารถบรรลุถึงเป้าหมายของอิสรภาพทางการเงิน
เมื่อเรามีอิสรภาพทางการเงิน ทุกคนในครอบครัวก็จะดำรงชีวิตได้อย่างไม่ขัดสน และทุกคนมีเวลาที่คนจะมาสร้างความสุขร่วมกัน
โดยไม่ต้องไปอิจฉาใคร
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์