เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นไปที่ $18,687 ทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่เคยไปแตะเมื่อเดือนธ.ค. ปี 2017 ซึ่งหากมองย้อนกลับที่ราคาตอนต้นปี จะพบว่าราคาของ Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าทีเดียว สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนที่มองราคา Bitcoin ผ่านกราฟในอดีต แล้วอาจจะเริ่มเสียวไส้อีกครั้ง เพราะ ที่ระดับราคานี้เมื่อ 3 ปีก่อน พอราคา Bitcoin ไปต่อไม่ได้ ก็มีแรงปรับฐานลงมา โดยร่วงหลังจากนั้นถึง -70% ทีเดียว
ตอนนี้ใครที่มีอยู่ ก็อาจจะเริ่มสงสัยว่า ทำขายทำกำไรบ้างเลยไหม?
ส่วนใครที่ยังไม่มีในพอร์ตเลย ก็คงมีคำถามว่า เข้าตอนนี้ยังทันหรือเปล่า?
ผมพาไปดูข้อมูลที่น่าสนใจในหลากหลายมุม ให้เราทุกคนได้พิจารณารอบด้านกันครับ
1. วันที่ Bitcoin เกิดขึ้นมาบนโลก ต้องยอมรับว่า เหมือนจะเป็นศัตรูกับระบบการเงินเดิมของโลก ทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกต่างเป็นกังวลและยังไม่ยอมรับ แต่จนถึงตอนนี้ กลายเป็นว่า Central bank digital currency (CBDC) นั่นเริ่มแพร่หลายและถูกพัฒนาในหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน อังกฤษ สวีเดน แคนาดา อุรกวัย สิงคโปร์ หรือ แม้แต่ประเทศไทยเราเอง ก็ซุ่มศึกษาและพัฒนาอยู่
2. ในขณะที่สกุล Bitcoin เอง ก็เป็นที่ยอมรับว่าถูกกฎหมายในหลายประเทศเลย ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เยอรมัน ฝรั่งเศส มอลต้า แคนาดา เบลารุส เนเธอแลนด์ สิงคโปร์ อินเดีย รัสเซีย และ ไทยเรา (แต่ไทย ห้ามธนาคารพาณิชย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวนะครับ) ในขณะที่มีมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกแล้วตอนนี้ที่ Cryptocurrency ทุกสกุลที่ได้รับการยอมรับว่าถูกกฎหมาย เมื่อรวมกับเหตุผลข้อ 1. มันสะท้อนแล้วว่า สกุลเงินดิจิตอล น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตแน่ ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
3. การเกิดขึ้นมาของ Bitcoin เบื้องหลังของมันคือการเข้ามา Disrupt สกุลเงินดอลล่าร์ ที่ผู้ให้กำเนิด Bitcoin มองว่า มันจะค่อย ๆ ด้อยค่าลงเรื่อย ๆ จากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องที่มีมาตั้งแต่หลังวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 ซึ่งจะเห็นว่า Bitcoin กำลังพยายามจะเสนอว่า ตัวเองคือ Alternative Currency เช่นเดียวกับที่ทองคำถูกคนพูดถึงให้เป็นเช่นนั้นด้วยกัน
4. แต่ความต่างกันก็คือ ธนาคารกลางทั่วโลกเก็บทองคำในเงินทุนสำรองคิดเป็นสัดส่วน 20% ของปริมาณทองทั้งหมด หรือมูลค่าราว ๆ $9 trillion ซึ่งมากมายมหาศาลเมื่อเทียบกับ Market Value ของ Bitcoin ที่ถึงแม้จะวิ่งขึ้นมาทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลอยู่ตอนนี้ ก็มีมูลค่าเพียงแค่ $339 billion เท่านั้น ยังเล็กกว่าหุ้น Tesla ที่เพิ่งมีข่าวจะเข้าคำนวนในดัชนี S&P 500 เสียอีก
5. ขนาดของ Market Value ที่เล็กขนาดนี้ เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุนสถาบันที่มีขนาดเงินก้อนโต ๆ ที่ต้องการจะเข้ามาผสมโรงร่วมลงขันกับสกุลเงินดิจิตอลสกุลนี้อยู่พอสมควร ดังนั้นถ้าพิจารณาในมุมว่า ทุกคนเข้ามาร่วมวงใน Bitcoin จนเกิดฟองสบู่ในแง่ Demand แล้วไหม? หรือจะมองในแง่ว่า Bitcoin มาสุดทางหรือยัง? ต้องบอกว่า มีแต่นักลงทุนรายย่อย และรายเล็กเท่านั้นในตอนนี้ที่เข้ามามีส่วนร่วมจนถึงตอนนี้นะครับ
6. จุดที่ดูเหมือนว่า Bitcoin จะได้รับการยอมรับมากขึ้น เห็นจะเป็นข่าวเรื่องการที่บริษัท Paypal ได้ออกมาประกาศว่าผู้ใช้งาน Paypal จะสามารถซื้อขาย Bitcoin ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทได้โดยใช้ Wallet Digital ของ Paypal เอง เมื่อปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ต้นเดือนต.ค.นั้น Square บริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลก ได้ออกมาประกาศว่า ทำการเข้าซื้อ Bitcoin มูลค่า $50 million ไปก่อนหน้านี้ ยิ่งมีคนยอมรับ Bitcoin มากขึ้น ความต้องการของนักลงทุนก็มากขึ้นตามไปด้วย
7. ร้อนแรงขนาดนี้ แต่ก็ยังมีนักลงทุนระดับตำนานตั้งคำถามกับ Bitcoin และคนล่าสุดก็คือ Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater กองทุน Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งให้มุมมองผ่านทวิตเตอร์ว่า Bitcoin ไม่ใช่ตัวกลางแลกเปลี่ยนหรือตัวเก็บมูลค่าที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากความผันผวนของมัน โดยบอกต่อว่า นึกภาพไม่ออกว่า ธนาคารกลาง นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ องค์กรธุรกิจ หรือบริษัทข้ามชาติ จะใช้ Bitcoin จริง ๆได้อย่างไร? นอกจากนี้ ปู่เรย์เชื่อว่า รัฐบาลหลายประเทศ อาจสั่งห้ามสินทรัพย์คริปโตหากมันคุกคามสกุลเงินตราเก่าที่เคยมีมามากขึ้นเรื่อย ๆ
8. ซึ่งปู่เรย์ อาจจะไม่ทันสังเกตเห็นว่า เหล่าองค์กรธุรกิจอย่าง Fidelity Digital Assets, Square หรือล่าสุดคือ Paypal รวมถึงนักลงทุนในสหรัฐฯระดับตำนานอย่าง Paul Tudor Jones, Bill Miller และ Stanley Druckenmiller ต่างเข้ามาร่วมวงใน Bitcoin รอบนี้เป็นที่เรียบร้อย (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกจากวงเมื่อไหร่นะครับ)
9. คนที่ให้ความเห็นถึงสถานะของ Bitcoin ไว้น่าสนใจอีกคน ผมคิดว่า คือ คนคนนี้ครับ Mike Novogratz มหาเศรษฐีผู้เป็นอดีต Hedge Fund Manager ให้กับ Fortress Investment Group และเป็นอดีต Partners ของ Goldman Sachs ให้มุมมองกับ Bitcoin ว่า มันคือที่ที่เก็บมูลค่าเช่นเดียวกับ “ทองคำ” ในอดีต แต่สะสมในรูปแบบของ Digital Asset และ Bitcoin จะไม่ถูกนำมาใช้แทนสกุลเงินดั้งเดิมในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นนักลงทุนจะเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อการกระจายความเสี่ยง คำถามจึงไม่ใช่ว่า Bitcoin จะกลายเป็นอนาคตได้ไหม แต่ควรเปลี่ยนคำถามเป็นว่า “เมื่อไหร่” และทุกองค์กรก็ควรเตรียมตัว
10. ซึ่งถ้ามองแบบที่คุณไมค์ให้ความเห็น ก็น่าสนใจตรงที่ หากเหล่าคนทำ ETFs เห็นโอกาสและเห็น Demand ว่าจะมาจริง แล้วจัดตั้งกองทุน ETFs ที่ลงทุนใน Cryptocurrency หรือ เจ้า Bitcoin ตัวเดียวแบบเน้นๆได้ ก็อาจจะเหมือนกับตอนที่ SPDR Gold Trust จัดตั้งกองทุน ETFs ครั้งแรกเมื่อปี 2004 ซึ่งตอนนั้น ราคาทองอยู่แถวๆ $400 เอง และก็เพราะ Investment Demand จากนักลงทุนนี่ละครับ ที่ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นมาอยู่แถวๆ $1,870 ณ ปัจจุบัน
11. มีคน Bull กับราคาทองมาก ๆ อีกคนหนึ่ง ที่อยากบอกหน่อย ก็คือ Tom Fitzpatrick ซึ่งปัจจุบันเป็น Chief Technical FX Strategist อยู่ที่ Citigroup ซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin มาตั้งแต่แรก ๆ มองว่า รอบนี้ของ Bitcoin หากรูปแบบราคาเหมือนกับในอดีต จะเป็นไปได้ว่า ภายในสิ้นปี 2022 เราอาจได้เห็นราคา Bitcoin ทดสอบ $318,000 (ถ้าไปถึงจริง ๆ ก็เว่อร์วังมาก ๆ)
สุดท้าย คุณจะร่วมวง Bitcoin กับเขาด้วยหรือไม่ หรือจริง ๆ จะเป็นอย่างที่ปู่เรย์ตั้งคำถามว่า ความเหวี่ยงแบบนี้ มันจะใช้อย่างแพร่หลายได้จริง ๆ หรือ นั่นคือ สิ่งที่คุณต้องไปคิดต่อ
ส่วนผม ซึ่งลงทุนและถือ Bitcoin มา 4 ปี ต้องบอกเลยว่า ….รู้งี้ ขายบ้าน ขายรถมาซื้อก็ดี … แต่ก็นะ ใครมันจะไปรู้เนอะครับ 😊
แหล่งที่มาข้อมูล :-
https://blog.sagipl.com/legality-of-cryptocurrency-by-country/
https://www.fool.com/investing/2020/10/27/square-bought-50-million-worth-of-bitcoin-what-doe/
https://www.fool.com/investing/2020/10/27/why-paypals-bitcoin-support-is-a-big-deal/
https://news.bitcoin.com/citibank-executive-says-bitcoin-will-trade-at-318000-by-end-of-2021/
Mr.Messenger รายงาน