เราต้องเข้าใจก่อนว่ากระบวนการผลิตชิป 1 อันมีขั้นตอนซับซ้อนมากในโรงงาน โดยเป็นการเปลี่ยนแผ่นซิลิคอน (วัตถุดิบตั้งต้น) ให้กลายเป็นชิปคุณภาพสูงนำไปประมวลผลในคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้ จะใช้ระยะเวลาในการผลิตทั้งหมดประมาณ 3 – 4 เดือน
กระบวนการดังกล่าวล้วนต้องการเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เครื่องทำความสะอาดแผ่นซิลิคอน เครื่องตรวจสอบจุดบกพร่อง และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ “เครื่องฉายแสงลงบนแผ่นชิป” ที่เป็นตัวช่วยให้โรงงานสามารถผลิตชิปขนาดเล็กลง (ประสิทธิภาพสูงขึ้น) สำเร็จ ซึ่งเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการผลิตในอนาคตมีเพียงบริษัทเดียวที่สร้างได้ บริษัทดังกล่าวก็คือ “ASML” ตัวแทนอุตสาหกรรมไฮเทคจากเนเธอร์แลนด์
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเครื่องฉายแสงลงบนแผ่นชิปมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เนื่องจากเครื่องจักรนี้เป็นตัวกำหนดว่าชิปรุ่นใหม่จะสามารถผลิตให้เล็กลง (ประสิทธิภาพสูงขึ้น) ได้หรือไม่
3 บริษัทเจ้าใหญ่ที่ครองตลาดคือ ASML, Canon, Nikon ซึ่ง 2 เจ้าหลังก็คือบริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตกล้องถ่ายรูปนั่นเอง
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ภาพยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเทคโนโลยี EUV ที่จำเป็นต่อเครื่องฉายแสงของการผลิตชิปให้ขนาดเล็กลง (ประสิทธิภาพสูงขึ้น) มีเพียง ASML เท่านั้นที่สามารถคิดค้นได้สำเร็จ และพร้อมเข็นเครื่องจักรออกให้ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) นำไปทดสอบได้ก่อน
เมื่อสถานการณ์ชัดเจนว่าเครื่องจักรนี้ใช้งานได้จริง จำเป็นต่อกระบวนการผลิตชิปในอนาคต และมี ASML เท่านั้นที่สามารถสร้างได้ บริษัทจึงเริ่มแผนการดันราคาขายเครื่องจักรทันที !
ช่วงปี 2018 บริษัทตั้งราคาเครื่องจักร EUV เครื่องละ 3,700 ล้านบาท แต่กลับบอกว่าราคานี้บริษัทยังขายขาดทุนอยู่ ! ขอขึ้นราคาเป็น 4,800 ล้านบาทในปีนี้ และไม่พอบอกราคาปีหน้าขอขึ้นเป็นเครื่องละ 6,000 ล้านบาท ตามคุณภาพที่เพิ่มขึ้นของมัน !!!
โรงงานจำนวนมากต้องปิดตัวในช่วงวิกฤตโควิด แต่ ASML โรงงานผลิตเครื่องจักรโตสวนกระแสเศรษฐกิจโลก !
ยอดขายไตรมาส 2 (เดือนเมษายน – มิถุนายน) ออกมาที่ 1.2 แสนล้านบาท เติบโต 30% YoY ขณะที่การขึ้นราคาเครื่องจักร EUV ส่งผลบวกชัดเจนต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท (ต้นทุนเท่าเดิมแต่ขายของได้แพงขึ้น) พา Gross Profit Margin จาก 43% ในปีก่อนมาที่ 48% ในไตรมาสล่าสุด ดัน EPS พุ่ง 58% YoY
ราคาเครื่องจักรขึ้นเอา ๆ แล้วอย่างนี้ลูกค้ายังจะยอมจ่ายแพงขึ้นเรื่อย ๆ ใช่ไหม ?
เรื่องนี้ต้องมองไปที่ลูกค้าปลายทางของ Supply Chain เช่น ผู้บริโภคทั่วไปที่ซื้อมือถือและ Data Center ที่ซื้อชิปคุณภาพสูงไปประมวลผลและเก็บข้อมูล
ตราบใดที่ผู้บริโภคต้องการมือถือคุณภาพสูงขึ้น เช่น ใช้งานเครือข่าย 5G ได้ หรือถ่ายรูปชัดสุด ๆ (กล้องหลัง 5 ตัว) ย่อมต้องการชิปคุณภาพสูงขึ้นเพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานดังกล่าว เช่นเดียวกันกับ Data Center ที่ต้องปรับตัวเข้ายุคธุรกิจ Big Data ต้องการชิปตัวโหด ๆ มาประมวลผลและเก็บข้อมูลที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นมหาศาลในอนาคตอันใกล้ !!
เรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคปลายทางยังมีแนวโน้มจะจ่ายแพงขึ้นเพื่อได้ชิปคุณภาพสูงขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโรงงานผลิตชิปจึงยังสามารถซื้อเครื่องจักรราคาแพง มาผลิตให้ได้ต่อไป !
BottomLiners
สนใจศึกษาหุ้น AI & Chips ก็มาพบกันได้ที่งาน expert bootcamp AI & Semiconductor คลิก https://bottomliner.co/bottomliner-expert-bootcamp-ai-semiconductors/
ที่มาบทความ: https://bottomliner.co/2020/09/23/asml-1/