แนะนำแนวทางในการลงทุน หากตลาดไม่เป็น V-Shape และไวรัสโควิดยังต้องอยู่กับเราไปอีกหลายปี !
วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องลงทุนกันอีกครั้งนะครับ หลังจากที่หลายท่าน Inbox เข้ามาขอบคุณสำหรับบทความลงทุนเรื่อง Tesla หลายตอนที่เราได้เขียนไป แต่ก็ต้องขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าเพจเราไม่ได้เป็นผู้ชี้นำด้านการลงทุน เราตั้งใจทำเพจนี้ขึ้นมาเพื่อแชร์ประสบการณ์ในตลาดผ่านเลนส์ของเทรดเดอร์น้ำมันคนนึง ซึ่งแค่หวังว่าทุกท่านจะนำไปเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
เรื่องที่อยากจะมาชวนคุยวันนี้คือ ถ้าวัคซีนไวรัสโควิดยังไม่มาจริง ๆ อีก 1-2 ปี ถ้าการทยอยเปิดเมืองต่าง ๆ ไม่สามารถดึงการใช้จ่ายออกมาได้มากอย่างที่คิด ถ้าธุรกิจทั่วไปจะไม่มีการเติบโตเท่าที่คาดการณ์ไว้ สิ่งที่ทำให้คนกลัวไม่ซื้อหุ้นคือ Upside ยังน้อยเพราะโควิด… แล้วเราจะมีวิธีการลงทุนอย่างไรบ้าง ?
คงต้องเริ่มที่ว่า นักลงทุนในโลกเรานั้นมีหลายประเภท
1. ถ้าเป็นกลุ่มนักลงทุน VI ตัวจริง
พวกเขาอาจจะไม่ได้ต้องสนบทความนี้ก็ได้ เพราะนักลงทุน VI ตัวจริงนั้นรู้อยู่แล้วว่าเวลาไหนคือเวลาที่ควรลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หรือเวลาไหนที่ควรจะพักเงินเก็บไว้ก่อน นักลงทุน VI ทราบดีอยู่แล้วว่าถ้าภาวะโควิดจะต้องลากยาวออกไป มันจะกระทบกับธุรกิจไหนมากน้อยกว่ากัน ใครจะได้ประโยชน์หรือใครจะเสียประโยชน์
นักลงทุน VI ตัวจริงนั้นเขาใช้เวลาศึกษาธุรกิจและลงรายละเอียดเยอะมากกว่ากลุ่มนักลงทุนอื่น ๆ เยอะ เพราะฉะนั้นเขาจึงสามารถลงทุนกับหุ้นรายตัวได้อย่างไม่ได้กังวลอะไร เพราะเขาจะเลือกตัวที่ดีที่สุดเสมอ
2. ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษามาก
คุณก็อาจจะเลือกลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ ๆ ที่มีความเสี่ยงน้อย ลงทุนในดัชนีรวมของตลาด (SET, SET50, Dow Jones, S&P) หรือกองทุนต่าง ๆ ที่กระจายความเสี่ยงมาให้คุณพอสมควรแล้ว จนคุณไม่ต้องใช้เวลามากในการศึกษา
แต่แน่นอนปัญหาของนักลงทุนในประเภทนี้คือหลาย ๆ คนจะไม่ชอบที่ผลตอบแทนที่ได้กลับมานั้นน้อยเกินไป อาจจะได้รับกลับมาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนหุ้นรายตัว
โดยเฉพาะในตลาดที่หากไวรัสโควิดยังอยู่กับเราอีกนานหลายปี การเติบโตของเศรษฐกิจอาจชะลอลงจริง ๆ และอาจทำให้ผมตอบแทนของดัชนีรวมมี Upside ที่น้อยมาก
นี่เป็นปัญหาที่นักลงทุนที่ไม่เวลากำลังเผชิญอยู่ ต่อให้พยายามเลือก Sector ไปลงในหุ้นกลุ่ม Technology แล้วก็ตาม เราก็ยังไม่มีเวลาไปศึกษาเลยว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้ที่วิ่งขึ้นไปไกลกว่ากลุ่มอื่น ๆ แล้วนั้นได้รับรู้กำไรในอนาคตเข้าไปในราคาปัจจุบันหมดแล้วหรือยัง ผลตอบแทนและ Upside อาจยังมีน้อยอยู่
3. กลุ่มเทรดเดอร์รายวัน
ปัญหาเรื้อรังของไวรัสโควิดก็ไม่กระทบกับนักลงทุนกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน เพราะต่อให้ตลาดไม่ขึ้นยาว หรือเพียงอยู่แค่ Sideway ไปเรื่อย ๆ เทรดเดอร์รายวันสามารถ Short หรือ Long จากตลาดก็ได้ และสามารถทำกำไรได้จากความผันผวนรายวันในตลาด ไม่ต้องพึ่งพาการเติบโตของธุรกิจทั่วโลก
แต่การจะเป็นนักลงทุนกลุ่มนี้ได้นั้นต้องมีเวลาอย่างมาก ไม่สามารถทำได้หากมีงานประจำ และยังต้องใช้เวลาฝึกฝนและมีประสบการณ์นานมากก่อนที่จะสามารถเป็นเทรดเดอร์รายวันที่ทำกำไรได้
ขอย้ำและเตือนทุกท่านอีกครั้งอย่างที่ผ่าน ๆ มาว่า ตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกนั้น หากเราดูแค่ความเคลื่อนไหวรายวัน ตัดผลตอบแทนระยะยาวจากรายได้ของธุรกิจหรือ Inflation ออกไป จริง ๆ ตลาดมันคือ Zero Sum Game หรือแปลว่าเงินที่เราจะได้มาจะต้องมาจากเงินที่อีกคนเสียอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นมันคือตลาดที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่วันยังค่ำ
ทางเราจึงแนะนำเลยว่า คุณไม่ควรจะพยายามเป็นเทรดเดอร์รายวัน หากคุณยังไม่เข้าใจกลไลของตลาดอย่างถ่องแท้ เพราะปลาใหญ่ในตลาดนั้นใหญ่กว่าคุณเยอะ ต่อให้คุณคิดว่าคุณจะว่ายเร็วแค่ไหน อาจจะหลุดรอดไปได้ในบางครั้ง แต่ในระยะยาวนั้นยังเสี่ยงอยู่มาก ๆ
4. เทรดเดอร์ Option
นี่คืออีกกลุ่มที่จะไม่ได้รับผลกระทบต่อปัญหาไวรัสโควิดเรื้อรังอีกเช่นกัน เพราะ Options เทรอเดอร์นั้นสามารถซื้อขาย Put/Call Options หรือสิทธิ์ในการซื้อขายได้ โดยถ้าทางเทรดเดอร์มองว่าตลาดจะเป็น Sideway ไปอีกนาน ก็จะสามารถปรับกลยุทธ์มาเป็นการขาย Put หรือ Call Options ได้แทน และยังสามารถทำเงินได้เรื่อย ๆ
ส่วนตัวที่ผมชอบการเทรด Option นั้นก็เพราะมันทำให้เทรดเดอร์ได้รู้จักและมองตลาดได้อีกมิตินึง มากกว่าเทรดเดอร์ทั่วไปนั้นคือมิติของ “เวลา”
โดยปกติแล้วเวลาเราได้ยินกูรูด้านการลงทุนมาถกกัน ส่วนใหญ่จะเน้นพูดกันไปที่มิติของการทำเงินจากการขึ้นลงของตลาดอย่างเดียว หรือต่อถ้ามีการลงในรายละเอียดไปถึงเวลาที่ตลาดจะลงหรือขึ้นเมื่อไหร่ ก็จะพูดถึงแค่การพักเงินและรอเวลา #แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้พูดถึงการลงทุนในมิติของเวลาจริง ๆ
การลงทุนในมิติของเวลานั้นเราทำได้จริง ๆ ถ้าเราเข้าใจตลาด Option และนำมันเข้ามาประกอบกับพอร์ตของเรา
กลับมาที่คำถามสำคัญ แล้วถ้าเกิดตลาดเป็น Side Way ไปอีกนาน นักลงทุนที่ไม่มีเวลา ไม่ได้เป็นเทรดเดอร์รายวัน ไม่ได้เข้าใจตลาด Options ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย จะลงทุนอย่างไรดี ?
อย่างแรกเลยคือกองทุน ETF หรือ Exchange Traded Fund ที่เราพูดถึงเป็นประจำนี้ถูกดีไซน์มาช่วยให้กลุ่มนักลงทุนที่ไม่มีเวลาต่าง ๆ นำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้หลายทางมากนัก
ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยากลงทุนในหลาย ๆ กลุ่มธุรกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าควรแบ่งสัดส่วนธุรกิจไหนเป็นเท่าไหร่ ? ควรจะลงซื้อหุ้นรายตัวแบบดี ๆ ตัวไหนบ้าง ? กองทุน ETF เหล่านี้สามารถจัดตั้งรูปแบบการลงทุนแบบสำเร็จรูปมาให้คุณได้ และคุณเองก็สามารถเข้าซื้อและขายกองทุนเหล่านี้ได้ตลอดเวลาด้วยสภาพคล่องที่สูงแบบไม่ต้องรอราคาปิดรายวันด้วย
และแน่นอนสำหรับนักลงทุนที่อยากลงทุนในมิติของเวลา อยากใช้เครื่องมือ Options เข้ามาบริหารผลตอบแทนของพอร์ตด้วยนั้น ก็มี ETF บางแบบที่สามารถเข้ามาช่วยคุณในจุดนี้ได้เช่นกัน
ETF ที่ผมอยากแนะนำวันนี้คือ BuyWrite ETF
BuyWrite ETF ที่มีการซื้อขายล้อกับผลตอบแทนของดัชนีหรือกลุ่มธุรกิจหลัก ๆ ของโลก แต่เสริมเข้าไปด้วย Option Strategy นั้นมีหลายตัวมากไม่ว่าจะเป็น
– Invesco S&P 500 BuyWrite ETF
– PowerShares S&P 500 BuyWrite Fund
– Global X NASDAQ 100 Covered Call ETF
– First Trust BuyWrite Income ETF
– และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดย BuyWrite ETF เหล่านั้นจะใช้กลยุทธ์ Covered Call Strategy ในการบริหารผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน ทำให้สามารถมีผลตอบแทนได้แม้ว่าตลาดจะขยับเป็นแค่ Side Way ก็ตาม เพราะทางผู้บริหารกองทุนจะทำการซื้อหุ้นตามดัชนี้เหล่านี้จริง ๆ และทำการ ขาย Call Option ของหุ้นต่าง ๆ ประกอบในพอร์ตไปด้วยทำให้
1) หากราคาของดัชนีไม่ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทางกองทุนก็จะยังได้กำไรจากการขายสิทธิ Call Option เหล่านั้นเข้ามาสมทบอยู่ตลอดเวลา
2) หรือแม้แต่ถ้าราคาดัชนีปรับตัวลดลงมาผลตอบแทนที่ขาดทุนก็ยังจะขาดทุนน้อยกว่ากองทุนดัชนีธรรมดาเล็กน้อยเพราะได้เงินจากการขายสิทธิ์ Call Option มาเสริม
3) แต่หากราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วผลตอบแทนของกองทุนก็จะได้น้อยกว่ากองทุนดัชนีธรรมดาเพราะว่าจะต้องเสียเงินกลับไปให้สิทธิ์ของ Call Option ที่ขายออกไปเหล่านั้น (แต่ผลตอบแทนจะไม่มีวันเป็นลบถ้าจัดสัดส่วนถูก)
หรือเรียกได้ว่า BuyWrite ETF หรือ Covered Call EFT เหล่านี้จะเป็นกองทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีหากตลาดนั้นอยู่ในสภาพซึม ๆ โตช้า ๆ ไปอีกนาน ๆ
จริง ๆ แล้วหากใครอยากนำกลยุทธ์นี้ไปใช้ในการเทรดก็ได้
ในสมัยนี้หุ้นหลาย ๆ ตัวในตลาดสามารถเปิดให้ซื้อหรือขาย Put + Call Option ได้แล้ว ท่านไหนที่เข้าใจกลยุทธ์นี้หรือมีเวลาในการบริหารพอร์ตก็อาจสามารถนำ Covered Call Strategy ไปใช้ได้ ถ้าคิดว่าหุ้นนี้จะเทรดเป็น Side way
แต่จะต้องระวังสัดส่วนของหุ้นที่ถือและ Call ที่ขายออกไปให้ดีเพราะสัดส่วนนั้นสำคัญมาก ถ้าทำผิดพลาดอาจจะเกิดการขาดทุนได้ถึงแม้ราคาหุ้นจะขึ้นก็ตาม
นี่คือเหตุผลที่ทางเราแนะนำว่าให้มืออาชีพที่บริหารกองทุน ETF นั้นเป็นผู้จัดสัดส่วนให้เราจะดีกว่า
บทสรุป
สุดท้ายนี้ผมอยากบอกอีกทีว่าตลาดนั้นยังมีความเสี่ยงสูง มีหลาย ๆ ปัจจัยที่กำลังเข้ามากระทบตลาดมากกว่าเรื่องไวรัส ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน ปัญหาหนี้เสียของบริษัทต่าง ๆ ที่อาจล้มละลาย ซึ่งทางเราก็คอยอัพเดทเรื่อย ๆ ถึงปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ถึงแม้ตลาดส่วนใหญ่จะมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะเป็น Sideway ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง
มนุษย์มีความสามารถในการทำนายอนาคตได้น้อยกว่าที่ตัวเองเข้าใจเยอะมาก และสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในวันพรุ่งนี้ก็อาจส่งผลกระทบลูกโซ่ให้ตลาดที่เรารู้จักเมื่อวานเปลี่ยนแปลงไปหมดทุกปัจจัยเลยก็ได้
แต่ถ้าตลาดจะเป็น Sideway อีกนานจริง ๆ การ BuyWrite ETF จะเป็นแนวทางเลือกที่ดีที่สุดของนักลงทุนที่ไม่มีเวลา แต่อยากลงทุนในมิติของเวลาไปด้วยครับ
KP
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/108586193028066/posts/543141342905880/
คำเตือน
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน