รูปที่เลือกมาใส่เป็นหัวข้อ อาจจะดูแปลกตาเกินกว่าจะเป็นเนื้อหาเรื่องการลงทุนซักเล็กน้อย ไว้ผมจะไปขยายความในตอนหลังแล้วกันนะครับ
ทุกๆปี และทุกๆครึ่งปี ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมปฎิบัติไปเสียแล้วสำหรับเหล่าบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ในการออก Paper ความยาวไม่ต่ำกว่า 10-20 หน้า เพื่อบรรยายว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในปีนั้นๆ พร้อมทั้งบอกว่า ที่ไหนมีโอกาส ที่ไหนมีความเสี่ยง
ความรู้สึกของนักลงทุนหลายๆคนหากอยู่ในตลาดหุ้นมาซักพัก จะรู้สึกคล้ายๆกันว่า “ตลาดมันมีเล่นยากขึ้นทุกๆปี” เพราะความเสี่ยง มมันมีตลอดเลย ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดไป
แล้วความเป็นจริง มันยากขึ้นหรือเปล่า?
คำตอบคือ มันไม่เคยง่ายลงเลยครับ
นักลงทุนคนหนึ่ง กว่าที่จะจิตใจนิ่ง สามารถวิเคราะห์ทุกอย่างได้อย่างเป็นกลาง และตรงตามความเป็นจริง จะต้องผ่านกระบวนการการเสพข่าว และวิเคราะห์ข่าวมาอย่างหนักมากๆ
ช่วงแรก เขาจะเริ่มอ่านข่าวตามหนังสือพิมพ์หนักๆ อ่านให้เยอะไว้ก่อน เพื่อเข้าใจอารมณ์ของตลาด และความเป็นไปของสถานการณ์ ณ ตอนนั้น
จากนั้น ต้องพยายามคิดวิเคราะห์ข่าวแต่ละข่าว ว่ามันคือปัจจัยบวกต่อสิ่งใด ปัจจัยลบต่อสิ่งใด ซึ่งสิ่งนี้ ถือเป็นความเห็นของตัวผู้วิเคราะห์เอง ทำแบบนี้ซ้ำเป็นระยะยาวหนึ่ง จะเกิดความชำนาญ และมีข้อมูลในหัวมากพอที่จะคิดในเชิงตรรกะต่อยอดการลงทุนได้
ตรงนี้ละครับ ที่ต้องระวัง เพราะหากยังไม่ชำนาญ การวิเคราะห์ก็อาจจะผิดพลาดได้ และเมื่อวิเคราะห์พลาด ก็หมายถึง กำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่ผิดพลาดเช่นกัน
ดังนั้น ส่วนตัวนะครับ ผมมองว่า กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล แยกแยะข้อเท็จจริง ออกจาก มุมมองของนักวิเคราะห์ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนต้องแยกให้ออก ยกตัวอย่างเช่น ผมเขียนบทความเรื่อง หุ้นในยุโรปกำไรโตดี และมีแนวโน้มจะโตต่อไป ตลาดหุ้นยุโรปน่าจะสดใสในครึ่งปีหลัง
นักลงทุนส่วนใหญ่ จะไปโฟกัสที่คำว่า “ตลาดหุ้นยุโรปน่าจะสดใสในครึ่งปีหลัง” ซึ่งเป็นการพุ่งไปที่ความเห็น แต่ไม่คิดสนใจหาข้อเท็จเบื้องหลังของความเห็นนี้ นี้คือจุดอ่อนข้อที่หนึ่งของการเสพข้อมูลการลงทุน
อีกจุดอ่อนก็คือ นักลงทุนมักลืมไปว่า หากหาอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ … จริงๆแล้ว ข่าวร้าย ขายได้มากกว่า ข่าวดี และหากเป็นข่าวดี ก็มักจะเป็นข่าวดี ที่มีคนจำนวนหนึ่งรู้ก่อนหน้าเราไปอยู่แล้ว ผลคือ ไม่ข่าวทำให้เรารู้สึกแย่ ก็ทำให้เราไปติดดอยที่สูง
ผมขอแชร์มุมมองอย่างงี้นะครับ ปัจจัยลบกระทบการลงทุน ยังไงก็ไม่มีวันหมดไป ถ้าคุณยังหาอ่านข่าวในช่องทางสื่อแบบเดิมๆ แต่ครั้นจะปิดหูติดตาตัวเอง ไม่อ่านข่าวเลย เราก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอารมณ์ตลาด ณ ปัจจุบันมันเป็นแบบไหน
ดังนั้น เราต้องหาสมดุลระหว่าง การไม่เสพข่าวให้เยอะเกินไป และเสพให้เพียงพอกับการรู้อารมณ์ตลาด ณ ปัจจุบัน โดยมีหลักการก็คือ ต้องวิเคราะห์ข้อมูล แยกแยะข้อเท็จจริง ออกจาก ความเห็นของผู้วิเคราะห์แต่ละคนออกมาให้ได้ แล้วค่อยกลั่นมันออกมาเป็นมุมมองของตัวเราเอง
จุดสมดุลที่ว่านี่ แต่ละคนมันอยู่คนละที่กันครับ คุณต้องหาจุดของตัวคุณเอง
เมื่อไหร่ที่รู้สึกตัวว่าเครียดเกินไป ให้ย้อนกลับมาคิดแบบนี้ครับว่า โลกเรานี้ ความเห็นต่าง และความขัดแย้ง เป็นของคู่กัน ไม่มีทางที่เราจะหนีพ้นมันไปได้ ไม่ขัดแย้งกันด้วยผลประโยชน์ ก็ขัดแย้งกันที่ความคิด เป็นเรื่องธรรมดา หมดปัญหากรีซ เดี๋ยวก็กังวลเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ย แล้วเดี๋ยวก็มีเรื่องอื่นๆมาอีก
มันไม่หมดไปหรอกครับ ประเด็นคือ หากเราปล่อยให้ข่าวร้าย ปัจจัยลบ และเหล่ามารร้าย มันเข้ามากินพื้นที่ในใจมากเท่าไหร่ มันก็เท่ากับ เรากำลังถอยไกลออกไปจากการให้เงินทำงานด้วยการลงทุนมากเท่านั้น
ปัจจัยบวก ปัจจัยลบ สำหรับการลงทุน เราควรวิเคราะห์ให้รู้
แต่ปัจจัยบวก ปัจจัยลบ ในใจ เราต้องสู้ ดูแลให้ใจเป็นกลางตลอดทางด้วยนะครับ
Mr.Messenger