แชร์บทเรียนแบบเจ็บๆ เปลี่ยนเงินออมไป "ซื้อหุ้น" ครั้งแรก
วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ลงทุนกันครับ (ที่ไม่ได้มีเยอะมาก แต่อยากเล่า) ของคนที่เคยผ่านการเจ็บตัวกับตลาดหุ้นมาก่อน จนเงินที่อุตส่าห์เก็บออมไว้เสียไปเปล่า ๆ เพราะคิดว่า “ลงทุนแล้วจะรวย”
เล่าก่อนว่าส่วนตัวสนใจเรื่องการเงิน การลงทุนมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ได้เริ่มลงทุนจริง ๆ จัง ๆ เมื่อราว 3 – 4 ปีก่อน ซึ่งช่วงนั้นตลาดหุ้นยังเป็นขาขึ้นอยู่ แต่ถามว่าการลงทุนครั้งแรกคร้้งนั้นได้กำไรไหม ?
คำตอบ คือ ไม่เลยครับ แถมเงินออมที่เก็บสะสมมายังหายไปบางส่วนด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าการเลือกนำเงินไปซื้อหุ้นตอนนั้น ผิดที่ผิดทางเอามากๆ
อย่างไรก็ดี หลังจากที่เจ็บตัวเยอะ เลยอยากจะมาสรุปบทเรียนให้ฟังว่าพอจะวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้เราพออยู่รอด
คงไม่ได้หมายถึงรวยแบบมีกำไรเยอะ ๆ แต่ก็ไม่ขาดทุนจนหมดตัว พอมีกำไรบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เงินออมนั้นโตไปได้เรื่อย ๆ ในระยะยาว
1. ถูกที่ ถูกตัว ต้อง “ถูกเวลา” ด้วย
เคยได้ยินไหมครับ “เจอคนที่ใช่ ในเวลาที่ไม่ใช่” ตลาดหุ้นก็เหมือนกัน เพราะหุ้นดีต้องมาพร้อมกับจังหวะการลงทุนที่ถูกต้องด้วย
เมื่อก่อนผมไม่เคยสนใจเรื่องนี้ คิดแค่ว่าก็เราวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจเป็น เข้าใจงบการเงิน ติดตามข่าวสารสม่ำเสมอ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่เมื่อมาอยู่ในสนามการลงทุนจริง ทำให้เข้าใจว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะหุ้นดีก็ทำให้เราขาดทุนได้เหมือนกัน ถ้าซื้อในเวลาที่ไม่ใช่
2. โลกการลงทุนไม่มีอะไรแน่นอน
เมื่อก่อนไม่รู้จักบริหารความเสี่ยง คิดว่าอันนี้ดี ก็ซื้อซ้ำ ๆ และลืมไปว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โดยเฉพาะโลกการลงทุน
ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน มีหุ้นพลังงานตัวนึงที่เรียกว่าเป็น Growth Stock ในตอนนั้น ทั้งผลประกอบการที่เติบโต มีข่าวดีเสริมราคาหุ้นอยู่เรื่อย ๆ และนักวิเคราะห์เองก็ประสานเสียงเชียร์
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคิดก็เกิด ! อยู่ดี ๆ ราคาหุ้นตัวนั้นร่วงติดฟลอร์ -30% ภายในวันเดียว สรุปคร่าว ๆ ของที่มาที่ไป ก็คือผู้บริหารมีการนำหุ้นไปค้ำเงินกู้ และมีการปกปิดบัญชี
จนสุดท้ายหุ้นตัวนั้นก็ถูกถอนออกจากตลาด ทำนักลงทุนหลาย ๆ คนเจ็บตัว เจ็บใจ ไปตาม ๆ กัน … ถูกต้องครับ ผมคือหนึ่งในนั้น
3. ถ้ารู้ว่ายังไม่พร้อม ก็อย่าเทรดเอง
อย่างที่รู้กันว่าการจะอยู่ในตลาดหุ้นให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว ต้องอาศัยทั้งความรู้ และประสบการณ์
เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่ายังไม่พร้อม หรือควบคุมความโลภของตัวเองไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเทรดเองจะดีกว่า
อย่างปัจจุบันถึงผมจะยังลงทุนเองในหุ้นอยู่บ้าง แต่ก็เป็นสัดส่วนที่ไม่เยอะ โดยแบ่งส่วนหลักไปเก็บไว้ในกองทุนรวมมากกว่า เพราะรู้ตัวว่าไม่ได้มีเวลามาโฟกัสกับตลาดได้ทั้งวัน
ที่สำคัญกองทุนรวมยังช่วยปิดจุดอ่อน 2 ข้อข้างบนได้ นั่นคือ มีคนช่วยจับจังหวะการลงทุนให้ และกระจายความเสี่ยงในการเลือกสินทรัพย์ลงทุนด้วย
สุดท้ายแล้วนี่เป็นแค่บทเรียนการลงทุนของคน ๆ นึงเท่านั้นครับ ทุกอย่างไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว