นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาจนปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ (28 ก.พ. 2020) ตลาดหุ้นไทยปรับฐานไปหนักถึง 8.57% ซึ่งเมื่อมองย้อนไปในอดีต จะพบว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง โดยต้องย้อนกลับไปถึงปี 2008 ในช่วงเดือนต.ค. ที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานไปถึง -23% ภายในสัปดาห์เดียว ซึ่งในช่วงนั้น Panic Sell เกิดจากวิกฤตครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ที่เรียกกันว่า วิกฤตซับไพรม์ คำถามคือ การปรับฐานครั้งนี้ มีวิกฤตรออยู่ข้างหน้าเราจริงหรือไม่?

คำตอบ เราคงต้องกลับไปมองที่ปัจจัยที่ตลาดกังวล นั่นก็คือ การแพร่ระบาดของไวรัส covid-19

Red Alert : หุ้นไทยปรับฐาน ย่างเข้าวิกฤติ หรือ คือโอกาส?

รูปที่ 1 อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรค MERS, SARS และ nCov-19 l  Source : Reuters

ย้อนกลับไปทำความเข้าใจตัวไวรัส COVID-19 กัน จะพบว่าการระบาดของไวรัสตัวนี้ต่างไปจากโรคระบาดครั้งใหญ่ๆ โรคอื่น อาทิ อีโบลา, SARS, และ MERS ทั้งในแง่ของอัตราการตายที่อยู่ที่เพียง 2.80% ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับอีโบลาที่อัตราการตายสูงถึง 90% ด้วยความรุนแรงที่ต่ำนี่เอง เมื่อประกอบกับระยะเวลาการฟักตัวที่ยาวนานสูงสุดถึง 27 วัน ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อ ซึ่งมีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อต่อเนื่องไปยังคนอื่นยังคงใช้ชีวิตในรูปแบบปกติ ซึ่งทำให้เชื้อสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วเหนือโรคร้ายแรงอื่นๆ

Red Alert : หุ้นไทยปรับฐาน ย่างเข้าวิกฤติ หรือ คือโอกาส?

รูปที่ 2 จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายประเทศทั่วโลก l Source : Bloomberg

ทำให้เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บนแผนที่โลก ทางเดียวที่จะหยุดยั้งการระบาดดังกล่าวได้ อาจต้องเป็นการหยุดกิจกรรมที่ส่งเสริมการแพร่กระจายเชื้อ อาทิ การชุมนุม การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และการทำงานรวมกันเป็นเวลานาน ซึ่งหมายถึงกระทบทั้งระบบห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการบริโภค ซึ่งเป็นพระเอกของภูมิภาคที่สำคัญอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งความสามารถในการควบคุมประชากรจำนวนมากให้หยุดกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เกือบทั้งระบบ มองตามความเป็นจริง ณ ตอนนี้ ต้องยอมรับว่าอาจมีเพียงประเทศจีนเท่านั้นที่สามารถทำได้ ด้วยระบอบการปกครองที่มีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งการอย่างแท้จริง ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อรายวันชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา  สวนทางประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ทะยานขึ้นแทนและอาจจะยังเป็นเช่นนั้นต่อไป

ส่งผลให้ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 50 วันนับจากวันที่พบผู้ติดเชื้อรายแรกนอกประเทศจีนเป็นครั้งแรก ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานลงเฉลี่ย 8-10% ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงกว่า 15

ซึ่งในกรณีของตลาดหุ้นไทยนั้นถูกกดดันรอบด้าน ทั้งในกรณีของความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่กดดันการใช้จ่ายของภาครัฐให้ล่าช้า และถึงมา ก็มาในเวลาที่ไม่ได้ช่วยเรียกความเชื่อมั่นได้แล้ว และการลงทุนจากต่างประเทศให้ชะลอตัว การบริโภคที่ถูกกดดันอยู่แล้วจากความมั่นใจทางเศรษฐกิจที่ลดลง รวมไปถึงล่าสุดเมื่อการแพร่ะกระจายของไวรัเข้ามา  ก็กดดันภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติม และเสมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนที่ประเทศไทยนั้นพึ่งพานักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมากถึง 33% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

แต่ในร้ายย่อมมีดี

ในข่าวร้ายข้างต้นคือ โรคระบาดกระจายสู่ผู้ติดเชื้อมากกว่า 80,000 คน มีข่าวดีว่ามีอัตราการตายที่ต่ำเพียง 2.80% เท่านั้น

ในข่าวร้ายข้างต้นคือผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นนอกประเทศจีน ก็มีข่าวดีว่าประเทศจีนที่เป็นต้นเรื่องเริ่มลดลง

ในข่าวร้ายการปรับตัวลงของตลาดหุ้นอย่างรุนแรง ก็มีข่าวดีว่าราคาตราสารหนี้และทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คำถามสำคัญคือ นักลงทุนอย่างเราจะทำเช่นไรต่อไป

ในช่วงที่ผ่านมานั้นราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ระดับ 1,689 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Dollar Index ซึ่งเป็นต้นทุนทางตรงของการถือครองทองคำในตลาดโลกทำจุุดสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 99.91 จุด สะท้อนความกังวลของตลาดได้เป็นอย่างดี สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ทำจุดต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่องที่ระดับ 1.25% ในช่วงอายุ 10 ปี

Red Alert : หุ้นไทยปรับฐาน ย่างเข้าวิกฤติ หรือ คือโอกาส?

รูปที่ 3 คาดการณ์การนำส่งสินค้าอิเล็คทรอนิคส์ l Source : TrendForce

สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับข้อมูลในภาคธุรกิจจริงที่ระบุว่า ผ่านเดือนกุมภาพันธ์มาครึ่งเดือนนั้น ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนลดลงถึง 92% (YoY) และมีการคาดการณ์ไปต่อว่าการขนส่งสินค้ากลุ่ม IT จะหดตัวสูงถึง 16% ในกลุ่ม Smart Warches ในช่วงไตรมาสที่ 1/2020 และที่สำคัญสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับสกุลเงินบาทไทย ที่กลับมาอ่อนค่าอีกครั้งจากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว และการเกินดุลที่มีแนวโน้มลดลง

ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดโอกาสในการลงทุนขึ้น ทั้งในส่วนของทองคำ ซึ่งหากปัจจัยความกลัวเร่งตัวขึ้น ประกอบกับเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลให้นักลงทุนหลายๆ ท่านสามารถทำกำไรได้อีกเกือบ 10% จากช่วงเวลานี้ ด้านของตลาดหุ้นนั้นก็เคยอยู่ในจุดที่นักลงทุนหลายๆ คนกังวลกับระดับความแพง ที่มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับ P/E ของตลาดหุ้นใหญ่ๆอย่างสหรัฐฯ ที่ทำจุดสูงสุดประมาณ 23.32 สำหรับดัชนี S&P500 และ 43.70 เท่าสำหรับดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลงมาสู่ระดับ 19.64 เท่า และ 32.98 เท่า ตามลำดับ ยังไม่รวมถึงของตลาดหุ้นจีนที่ลดลงสู่ระดับ 14.01 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี

Red Alert : หุ้นไทยปรับฐาน ย่างเข้าวิกฤติ หรือ คือโอกาส?

รูปที่ 4 แนวรับ SET Index และ P/E ของ Set Index ย้อนหลัง 5 ปี l Source : Bloomberg

มุมมองของเรา เชื่อว่า นี่คือ โอกาสทยอยเข้าทยอยสะสม แต่ในระดับสัดส่วนที่เหมาะสม และเน้นการจัด Asset Allocation ไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยสำหรับหุ้นไทย เรามองแนวรับทางเทคนิค อยู่ที่ 1,300 และ 1,240 จุด ตามลำดับ

ในแง่ของการตั้ง Mindset ในการลงทุน เราอยากให้นักลงทุนได้เห็นมุมมองของคุณวอเรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังกล่าว ซึ่งเพิ่งกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปเมื่อวานทาง CNBC ว่า

“นักลงทุนไม่ควรที่จะตัดสินใจด้านการลงทุนจากพาดหัวข่าว  เพราะไม่มีพื้นฐานทางธุรกิจใดที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน กลับกันหากโอกาสเช่นนี้อาจเป็นเรื่องดีเสียอีกที่ทำให้เราได้ลงทุนในธุรกิจที่ดีที่มีมูลค่าที่ถูกลง เมื่อประกอบกับระดับอัตราดอกเบี้ยและภาษีที่ต่ำ ก็มีแนวโน้มสูงที่หุ้นยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ในระยะยาว”

ดังนั้นแล้วจังหวะนี้จึงอาจเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในการฉวยโอกาสสร้างผลตอบแทนตามสถานการณ์ก็เป็นได้

FINNOMENA Investment Team


คำเตือน

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

TSF2024