หากพูดถึงสุดยอดมหากาพย์สุดยืดเยื้อทุกคนคงจะนึกถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ไตรภาคอย่าง The Lord of the Rings หรือ Game of Thrones สุดยอดซีรีย์หักเหลี่ยม เฉือนคมที่ตอนจบเราอาจจะไม่เป็นที่น่าพูดถึงซักเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่ทำมาได้อย่างดีโดยตลอด
แต่หากจะนึกถึงมหากาพย์ในโลกความเป็นจริง ซึ่งเป็นเกมของการเมือง เศรษฐกิจ ประชาชน และอนาคตของประเทศแล้ว Brexit คงเป็นหนึ่งในหนังไตรภาคที่ยืดเยื้อไม่รู้จักจบ
ย้อนไปเมื่อปี 2016 มีการโหวตว่าประชาชนจากประเทศเมืองผู้ดีนั้นจะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่…
ผลสรุปออกมาว่า 51.9% เห็นพ้องต้องกันว่าต้องการจะออกจากสหภาพยุโรป
หลังจากนั้นผู้ที่ได้รับหน้าที่มาดำเนินการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงก็เป็นอดีตประธานาธิบดีหญิงอย่าง Theresa May และตามมาด้วยผู้นำคนล่าสุดอย่าง Boris Johnson ที่เข้ามาอย่างเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด ด้วยสโลแกนสุดเท่ “Do or die” พร้อมกำหนด deadline เป็นวันที่ 31 ตุลาคม 2019 แต่ก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย
ถ้าถามว่าทำไมมหากาพย์นี้ถึงยืดเยื้อนัก เหตุผลก็คงเป็นเพราะผลประโยชน์ทางภาษีของชาวไอริช ที่อาจจะถูกตัดทอนไป หลังแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป รวมถึง Labour party ทั้งหลายที่กังวลว่า หากอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปแล้ว จะทำให้ work permit เกิดปัญหา นอกจากนี้ยังมีเรื่องผลประโยชน์ทางด้านทรัพยากรของชาวสกอตทิช ที่มีทรัพยากรอย่างนํ้ามันและพลังงานทางเลือก ทางชาวสกอตทิชเชื่อว่าตนสามารถพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่นี้ให้ดีขึ้นได้ จึงต้องการแยกตัวจากอังกฤษ (independence) อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของ backstop ซึ่งหมายถึงข้อตกลงระหว่างอาณาเขตไอร์แลนด์เหนือ และประเทศไอร์แลนด์ ที่มีไว้ป้องกันหาก Brexit ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงได้ โดยข้อตกลงระบุไว้ว่าจะไม่มีการแบ่งแยกพรมแดนระหว่างไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือออกจากกัน ซึ่งถ้าหากข้อตกลงนี้ไม่สามารถดำเนินการให้ลุล่วงได้ สิทธิทางการค้าหรือศุลกากรระหว่างสองอาณาเขตนี้จะถูกตัดออกไป
นิยายเรื่องนี้ดำเนินมาถึงตอนที่คล้ายจะเป็นตอนตัดสินอีกครั้ง เมื่อทางอังกฤษจะมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้
เรามาดูกันว่ามีใครกันบ้างที่จะเป็นผู้ครองตำแหน่งผู้นำคนต่อไป และนำพาประเทศเพื่อจบมหากาพย์อันแสนยืดเยื้อ
4 ตัวเต็งผู้สมัครชิงบัลลังก์สุดร้อนแรง ประกอบไปด้วย
1. Boris Johnson ผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยม (Conservative)
สมาชิกผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม (conservative) ที่มีจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป
แนวคิดเกี่ยวกับ Brexit
- ต้องการให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป โดยผ่านการตัดสินในรัฐสภา โดยใช้ข้อตกลงเดิมที่ตนตกลงไว้เมื่อเดือนตุลาคม ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงที่สานต่อมาจากอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง Theresa May โดยเพิ่มข้อตกลงเกี่ยวกับเขตการค้าของชาวไอริชเข้าไป
นโยบายทางเศรษฐกิจ
- กู้ยืมมากขึ้นเพื่อที่จะลงทุนในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ผ่านนโยบายทางการคลังที่ผ่อนคลายและยืดหยุ่นมากขึ้น
นโยบายเกี่ยวกับระบบสาธาณสุข (exchange rate as of 12/6/2019 09.59 a.m.)
- ลงทุนเพิ่ม 44.7 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Service) ทุกปี จนถึงปี 2023
2. Jeremy Corbyn ผู้นำฝ่ายแรงงาน (Labour)
พรรคผู้สนับสนุนแนวคิดการออกจากสหภาพยุโรปแบบ “ครึ่งทาง” (Soft Brexit) โดยวิธีการนี้จะมีการเจรจาถึงสิทธิและผลประโยชน์ที่อาจสูญเสียไปหลังจากอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป เช่น ผลประโยชน์ทางการค้า ระบบศุลกากรแบบใหม่ ความสัมพันธ์ทางการค้าต่างๆ รวมถึงสิทธิและการคุ้มครองต่างๆ โดยหลังจากตกลงเจรจากับสหภาพยุโรปเรียบร้อยแล้ว จะมีการนำข้อตกลงมาโหวตใหม่โดยประชาชน โดยมีสองทางเลือก คือ 1) จะออกพร้อมกับข้อตกลงที่ว่า หรือ 2) อยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป
แนวคิดเกี่ยวกับ Brexit
เจรจาเรื่องข้อตกลงใหม่อีกครั้ง ภายใน 6 เดือน หลังจากได้รับเลือกตั้ง และมีการโหวตเพื่อลงความเห็นอีกครั้ง
นโยบายทางเศรษฐกิจ
- จัดตั้งกองทุนพัฒนาชาติ (National Transformation Fund) และนำเงินมาสร้างระบบสาธารณูปโภค
- เพิ่มการจัดเก็บภาษีสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้สูงสุด
- ผลักดันอุตสาหกรรมหลักของชาติ
นโยบายเกี่ยวกับระบบสาธาณสุข
- เพิ่มการลงทุนในระบบสาธารณสุข
- สร้างบริษัทยาที่จัดตั้งโดยรัฐเพื่อที่จะควบคุมและลดราคาของยา
3. Jo Swinson ผู้นำฝ่ายเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrat)
พรรคผู้มีแนวคิดชัดเจนว่าต้องการยกเลิกเรื่อง Brexit และต้องการให้อังกฤษอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป
แนวคิดเกี่ยวกับ Brexit
- ยกเลิกกระบวนการ Brexit และอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป
นโยบายทางเศรษฐกิจ
- เพิ่มการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ บริษัท (Corporate tax) และนำเงินที่ได้มาสนับสนุนโครงการทางด้านการศึกษา อาทิเช่น การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
นโยบายเกี่ยวกับระบบสาธาณสุข
- ให้ความสำคัญมากขึ้นกับบริการรักษาอาการป่วยทางจิต ให้มีความสำคัญเท่ากับการรักษาโรคที่เกิดจากทางกาย
4. Nicola Sturgeon ผู้นำพรรคแห่งชาติ Scotland (Scottish National Party หรือ SNP)
แนวคิดหลักๆ ของพรรคนี้ค่อนข้างที่จะน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะว่าค่อนข้างแปลกจากสามพรรคข้างต้น โดยพรรคแห่งชาติ Scotland มาแปลกแหวกแนวกว่าใครเขา โดยชูโรงด้วยการนำ Scotland ออกจากอังกฤษ และเป็นประเทศอิสระ ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะ ทางประเทศเห็นโอกาสในการพัฒนาทรัพยากรที่มีค่าอย่างนํ้ามันและพลังงานทางเลือกที่ตนถือครองอยู่ โดยยังสนับสนุนแนวคิดการยกเลิก Brexit
แนวคิดเกี่ยวกับ Brexit
- ระงับหรือยกเลิกกระบวนการ Brexit และสนับสนุนการนำ Scotland ออกจากอังกฤษ
นโยบายทางเศรษฐกิจ
- จัดเก็บภาษีเพิ่มเพื่อนำทุนไปพัฒนาโรงเรียนและโรงพยาบาล
นโยบายเกี่ยวกับระบบสาธาณสุข
- ป้องกันระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ จากการเข้ามาถือครองของเอกชน
แล้วใครกันล่ะ? ที่มีโอกาสครองตำแหน่งสูงที่สุด!!
โพลสำรวจล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2019 จากเว็บไซต์ Bloomberg มีผลปรากฎว่าพรรคอนุรักษ์นิยมจะมีคะแนนเสียงถึง 42% ตามมาด้วยพรรคแรงงาน 28% พรรคเสรีประชาธิปไตย 15% พรรคสนับสนุน Brexit 4% และพรรคซ้ายจัด (Green Party of England and Wales) 4%
*ทั้งนี้และทั้งนั้นหากไม่มีพรรคใดมีจำนวนเสียงชนะขาดทางอังกฤษ จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นในปี 2020
สรุป
ถือว่าเป็นประเด็นที่ร้อนแรงมาอย่างยาวนานในเรื่อง Brexit เนื่องจากหลายๆ ฝ่ายต่างคำนึงถึงประโยชน์และสิทธิในเขตของตน รวมถึงปัญหาทางด้านการเหยียดเชื้อชาติที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากทางอังกฤษยื่นประชามติให้กับทางสหภาพยุโรป และปัญหาอื่นๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ก็ควรหาบทสรุปให้ได้โดยเร็ว เพราะ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ทาง Mr.Serotonin หวังว่าอังกฤษจะหาบทสรุปของมหากาพย์นี้ได้โดยไว และกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งอย่างที่เคยเป็น
Sources
https://labour.org.uk/page/labour-brexit-plan/
https://www.bloomberg.com/graphics/2019-uk-election-primer/
https://www.bbc.com/news/uk-politics-48027580
ผู้เขียน
