คนที่ลงทุนในหุ้นปิโตรเคมี น้ำมัน และถ่านหิน รวมถึงหุ้นที่ขายสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์บางอย่างนั้น ในช่วงนี้คง “เจ็บตัว” กันไม่น้อย เพราะราคาหุ้นตกลงมาหนัก หุ้นที่ตกลงมามาก ๆ หลายตัวนั้น เป็นหุ้นขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีผลการดำเนินงานที่ดีมาหลาย ๆ ปี บางแห่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นหน่วยงานรัฐที่มีบรรษัทภิบาลดี ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ หุ้นมีราคาถูกมากและมีการจ่ายเงินปันผลที่สูงถึงสูงมากอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลประกอบการล่าสุดนั้นดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไป มันลดลงอย่างมาก อานิสงค์จากราคาสินค้าที่ลดลงและปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย ราคาหุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ หรือทรงตัวมานาน ตกลงมาอย่างแรง คนที่ถือหุ้นที่ “ดีและถูก” และพอใจกับปันผลที่ได้รับ และ “สบายใจ” กับการลงทุนในหุ้นเหล่านี้แทนที่จะเป็น “หุ้นปั่น” ที่ต้องคอยกังวลตลอดเวลาต่างก็รู้สึกประหลาดใจและตกใจที่พบว่า “หุ้นดี มั่นคงและราคาถูก” เหล่านี้ ก็มีความเสี่ยงที่จะตกลงไปได้มากอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ประเด็นก็คือ บางคนอาจจะไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่านี่คือหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีวิธีคิดและการประเมินแตกต่างจากหุ้นแบบอื่น การใช้หลักการวิเคราะห์ “มาตรฐาน” ที่นักวิเคราะห์ใช้กันนั้นมักจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้
หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์นั้น โดยธรรมชาติมักจะเป็นหุ้นแนว “วัฎจักร” ที่ผลประกอบการมักจะขึ้น ๆ ลง ๆ ขึ้นอยู่กับราคาขายของสินค้าในท้องตลาดซึ่งคาดการณ์ยากมาก และราคานั้นขึ้นอยู่กับ Demand-Supply หรือความต้องการใช้และความสามารถในการผลิต-ทั่วโลกในระยะเวลาสั้น ๆ จริงอยู่ บางบริษัทก็อาจจะมีความสามารถเหนือกว่าบริษัทอื่นอยู่บ้าง แต่ปัจจัยชี้ขาดว่าผลประกอบการบริษัทจะดีหรือไม่นั้น ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ “ภาวะตลาด” ในยามที่ภาวะตลาดเอื้ออำนวย แทบทุกบริษัทก็มักจะดี ในยามที่ภาวะตลาดเลวร้าย ทุกบริษัทก็มักจะแย่ และสำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่ผมกล่าวถึงนั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่ามันจะดี และปีนี้หรือตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะแย่ คำถามที่นักลงทุนอยากจะรู้ก็คือ หุ้นมันตกลงมามากพอหรือยัง? เราควรซื้อหุ้นหรือยัง? หรือควรขาย?
ก่อนอื่นเราควรจะเริ่มจากทฤษฎีการวิเคราะห์หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ก่อน ในการวิเคราะห์หุ้นทั่วไปนั้น สิ่งที่เรามองมากที่สุดคือเรื่องของราคาหุ้นว่ามันถูกหรือแพง เรามักจะเริ่มจากค่า PE หรือราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น ว่าถ้ามันต่ำคือไม่เกิน 10 เท่า มันก็คือหุ้นถูกอย่างชัดเจน ส่วนค่า PB หรือราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชีว่า ถ้ามันไม่เกิน 1 เท่า มันก็คือหุ้นถูก อีกค่าหนึ่งก็คือค่า DP หรือเงินปันผลต่อราคาหุ้น ว่าถ้ามันเกิน 4-5% ต่อปี มันก็คือหุ้นถูก และถ้าหุ้นตัวไหนมีค่าทั้งสามที่บ่งบอกว่าถูก ก็แสดงว่ามันเป็นหุ้นที่ถูกแน่ ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะน่าซื้อ เราจะต้องดูคุณภาพของบริษัทหรือหุ้นก่อน
คุณภาพหรือคุณสมบัติของหุ้นนั้น เรามักจะวัดจากความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไรของบริษัทว่าเป็นอย่างไร ถ้ามองดูแล้ว บริษัทคงแข่งขันไม่ได้ในอนาคต อาจจะเนื่องจากคู่แข่งเหนือกว่ามากหรือธุรกิจกำลังถูก Disrupt หรือถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีใหม่ หรือไม่ก็เป็นธุรกิจตะวันตกดินที่คนรุ่นใหม่เลิกใช้แล้วนับวันคนที่เคยใช้ก็ตายไป แบบนี้ก็ต้องถือว่าคุณภาพกิจการแย่มาก ถึงราคาหุ้นจะถูกแค่ไหนมันก็ไม่คุ้มที่จะลงทุน ธุรกิจที่อิ่มตัวไม่โตแล้วแต่น่าจะยังอยู่ได้แบบทรง ๆ ไปอีกนาน อย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป แบบนี้ก็ต้องถือว่าคุณภาพต่ำ แต่ถ้าราคาหุ้นก็ต่ำมากในทุกมิติ นี่ก็อาจจะลงทุนได้ ธุรกิจที่คุณภาพกลาง ๆ มีการเติบโตไปตามภาวะเศรษฐกิจที่โตช้า ๆ และบริษัทก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่งแต่ก็แข่งขันได้ แบบนี้ถ้าราคาหุ้นถูกก็คุ้มค่าที่จะลงทุน แต่ถ้าบริษัทไหนมีคุณภาพโดดเด่นเหนือคู่แข่งและมีการเติบโตเหนือกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเช่น โตปีละเฉลี่ยถึงเกือบ 10% ขึ้นไปในระยะยาวไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป แบบนี้ก็อาจจะเป็นหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่น่าลงทุนแม้ว่ามันจะไม่ใช่หุ้นถูก เป็นต้น
วิธีการวิเคราะห์ที่กล่าวถึงนั้น ใช้กับหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ได้ เรื่องคุณภาพของกิจการนั้น ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์โดยทั่วไปมักจะไม่มีใครเก่งกว่าใคร เพราะถ้ามี วันหนึ่งก็จะมีคนใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาจนเท่าเทียมหรือเก่งกว่า ดังนั้น เวลาผมวิเคราะห์เรื่องคุณภาพของบริษัทแบบนี้ ผมก็จะมองว่ามันเป็นกิจการที่คุณภาพไม่สูงหรือไม่ได้ช่วยให้มี “Premium” หรือมีมูลค่าเพิ่มพิเศษ เป็นกิจการที่ทุกคนเก่งเท่ากัน ราคาก็ควรจะถูกพอ ๆ กัน และสำหรับ “VI” พันธุ์แท้ ถ้าจะลงทุนก็ควรมีค่า PE และอื่น ๆ ต่ำสุดเช่น PE ไม่เกิน 10 เท่าโดยเฉลี่ยในระยะยาวเช่นเดียวกับปันผลที่น่าจะต้องได้ปีละ 4-5% ขึ้นไป
การหาค่าความถูกความแพงของหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์นั้น จะดูเพียงจุดเดียวไม่ได้ เหตุผลก็เพราะว่าผลประกอบการมักจะไม่สม่ำเสมอ ในยามที่ดี กำไรของกิจการก็มหาศาล ในยามที่แย่บางทีถึงกับขาดทุน วิธีที่ผมจะใช้ก็คือการมองหา “กำไรปกติในระยะยาว” ซึ่งต้องดูที่ “กำไรต่อยอดขาย” เฉลี่ยในระยะยาว แล้วคูณด้วยยอดขายที่อิงกับกำลังการผลิตของโรงงาน โดยทั่วไปผมจะดูข้อมูลย้อนหลังไปอย่างน้อย 4-5 ปี ประกอบ แต่อย่างไรก็ตาม ผมมักจะกำหนดว่ามันต้องไม่สูง เช่น ไม่ควรเกิน 2-3 เปอร์เซ็นต์ในกรณีของผลิตภัณฑ์พื้นฐานและอาจจะไม่เกิน 3-4% ในกรณีที่เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเป็นต้น ด้วยวิธีนี้ เราก็จะได้ “กำไรปกติ” ของบริษัท และเมื่อเราคูณกำไรนี้ด้วยค่า PE ที่เราต้องการเช่น เราให้ PE 10 เท่า เราก็จะได้ “ราคาหุ้นที่ควรเป็น” หรือก็คือมูลค่าหุ้นหรือ Market Cap ของบริษัท จากนั้นเราก็เปรียบเทียบกับราคาหรือมูลค่าหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าราคาหรือมูลค่าหุ้นที่เราคำนวณได้สูงกว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นในตลาด เราก็ซื้อ ถ้าต่ำกว่าเราก็ขาย
เป็นไปได้มากว่าวิธีที่ผมกล่าวถึงนั้น มักจะไม่เป็นไปตามภาวการณ์ซื้อขายหุ้นในตลาดที่เห็น ในยามที่หุ้นร้อน ซึ่งก็มักจะเป็นช่วงที่กำไรของบริษัทกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแรง กำไรต่อยอดขายก็จะสูงเพราะสินค้ามีราคาสูงในขณะที่ต้นทุนเพิ่มน้อยกว่า ค่า PE ก็จะต่ำเช่นเดียวกับค่า PB ในขณะที่ปันผลตอบแทนก็จะสูง ดังนั้นคนก็จะเข้ามาซื้อหุ้นกันทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปแรงแต่ค่า PE ก็ยังไม่สูงเพราะค่า E หรือกำไรก็เพิ่มขึ้นมากตามกันไป แต่เวลานั้น อาจจะเป็นเวลาที่หุ้นแพงก็ได้ถ้าเราใช้ “กำไรปกติ” ที่บริษัทมีกำไรต่อยอดขายแค่ 2% ไม่ใช่ 4% อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนั้น ในทางตรงกันข้าม ในยามที่หุ้นตกหนักเพราะกำไรบริษัทลดอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ และเราเห็นว่าค่า PE เพิ่มขึ้นสูง แต่ถ้าเราใช้ตัวเลขอัตรา “กำไรต่อยอดขายปกติ” มาคำนวณ ซึ่งก็คือ 2% ไม่ใช่ 1% หรือครึ่งเปอร์เซ็นต์อย่างที่เป็นอยู่ ค่า PE ก็จะลดลงและหุ้นอาจจะคุ้มค่าที่จะซื้อก็เป็นได้
การหาจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์นั้น นอกจากจะต้องคิดอีกแบบหนึ่งหรือคิดตรงกันข้ามกับตลาดแล้ว คนที่ลงทุนก็จะต้องอาศัยจิตใจที่มั่นคงและกล้าพอที่จะ “สวนกระแส” และต้องพร้อมที่จะ “รอ” อย่างใจเย็น เพราะเราไม่รู้ว่าราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นเมื่อไรหรือจะเพิ่มไหมในยามที่โลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง และในวัฏจักรรอบใหม่นั้น กำไรของบริษัทจะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนเทียบกับราคาหุ้นที่จะปรับตัวขึ้นเมื่อสถานการณ์นั้นมาถึง อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ในระหว่างที่ “รอ” นั้น เราคาดหวังที่จะได้รับปันผลในระดับไหนไปเรื่อย ๆ ที่จะทำให้เราสามารถจะรอต่อไปได้เรื่อย ๆ ทั้งหมดนั้นเป็น “ศิลปะ” ในการลงทุนในหุ้นโภคภัณฑ์ที่แต่ละคนจะต้องเรียนรู้และฝึกฝน ถ้าสำเร็จ ผลตอบแทนก็น่าจะประทับใจ แต่ถ้าผิดพลาด มันก็อาจจะไม่เลวร้ายนักโดยเฉพาะถ้าเราซื้อในราคาที่ต่ำมากจนหุ้นมี Margin Of Safety มากพอ
ที่มาบทความ: http://www.thaivi.org/หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์/