หลายคนคงเซ็ง พอเงินเดือนออกปุ๊บ ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หักกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมไปถึงหักประกันสังคม สุดท้ายมาดูยอดสุทธิ นี่เงินเดือนหรือเงินทอนกันครับ??? แล้วมันคุ้มไหมกับที่หักไป? ดังนั้น เราควรกลับดูกันว่า สิทธิประกันสังคมที่ทุกควรรู้มีอะไรบ้าง ? มาดูกันครับ!!
ประกันสังคม เป็นการออมเงินภาคบังคับที่รัฐบาลสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีหลักประกันในการใช้ชีวิต มีความมั่นคงให้ครอบครัวและมีเงินเก็บส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมใช้เพื่อการเกษียณ จริงๆ แล้วประกันสังคมมีกันทั่วโลกนะครับ แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหม จ่ายไปมีประโยชน์อะไรบ้าง เราลองมาเช็คดูกันว่าสิทธิประกันสังคมทั้ง 8 อย่าง มีอะไรบ้าง อัปเดตข้อมูล 1 ก.ย. 2564
1. เจ็บป่วยเบิกได้
รักษาพยาบาลฟรี ตามโรงพยาบาลที่ระบุเลือกไว้ในบัตรโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นกรณีฉุกเฉินไปหาโรงพยาบาลใกล้เคียงได้แล้วสำรองจ่ายมาเบิกทีหลัง
กรณีผู้ป่วยใน เบิกได้ตามที่จ่ายจริง แต่สำหรับค่าห้องและค่าอาหาร ที่รักษาโรงพยาบาลรัฐบาล เบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท ในส่วนของค่าห้องและค่าอาหาร ที่รักษาโรงพยาบาลเอกชน เบิกได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท (ICU 4,500)
โดยโรคและบริการที่ไม่มีสิทธิได้รับบริการทางการแพทย์ (กลุ่ม 13 โรคยกเว้น)
1.โรคหรือการประสบอันตรายอันเนื่องจากการใช้สารเสพเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด
2.การบำบัดทดแทนไต กรณีไตวายเรื้อรัง ยกเว้น กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ให้มีสิทธิได้รับบริการทางการแพทย์โดยการบำบัดทดแทนไต ด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม , ด้วยวิธีการล้างช่องท้องด้วยน้ำยาอย่างถาวร และด้วยวิธีการปลูกถ่ายไต ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขและอัตราที่กำหนด
3.การกระทำใด ๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
4.การรักษาที่ยังอยู่ในระหว่างการค้นคว้าทดลอง
5.การรักษาภาวะมีบุตรยาก
6.การตรวจเนื้อเยื่อเพื่อการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ
7.การตรวจใด ๆ ที่เกินกว่าความจำเป็นในการรักษาโรคนั้น
8.การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ
9.การเปลี่ยนเพศ
10.การผสมเทียม
11.การบริการระหว่างรักษาตัวแบบพักฟื้น
12.ทันตกรรม ยกเว้น การถอนฟัน การอุดฟัน การขูดหินปูนและผ่าฟันคุด ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกิน 900 บาทต่อปี กรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่าย จริงไม่เกิน 1,300 – 4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี
13.แว่นตา
2. ทำฟันได้อีก
ผุ อุด ขูดหินปูนได้ 900 บาท/ครั้ง/ปี
3. ทุพพลภาพมีชดเชย
เงื่อนไข: ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนทุพพลภาพ
- กรณีทุพพลภาพรุนแรง ได้รับในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเป็นรายเดือน ตลอดชีวิต
- กรณีทุพพลภาพไม่รุนแรง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามประกาศฯกำหนด
4. จากไปมีเงินให้คนข้างหลัง
- รับค่าทำศพ 50,000 บาท โดยจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ ใครคือผู้จัดการศพ
- รับเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต
ถ้าก่อนเสียชีวิต ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 ถึง 120 เดือน ให้ จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
ถ้าก่อนเสียชีวิตผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน จ่ายให้ทายาทผู้มีสิทธิ
5. มีลูกช่วยจ่ายค่าคลอด
เงื่อนไข: จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร
สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ 15,000 บาทต่อการคลอดบุตร 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
ผู้ประกันตนหญิงได้รับเงินสงเคราะห์จากการลาคลอดเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของเงินเดือนเป็นระยะเวลา 90 วัน (สำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงาน)
6. ลูกเรียนช่วยค่าเทอม
เงื่อนไข: จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรที่ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 800 บาท ตั้งแต่บุตรอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ (สูงสุด 3 คนต่อครั้ง)
7. ตกงานมีเงินให้
เงื่อนไขการใช้สิทธิประกันสังคม
- จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงาน
- มีระยะเวลาว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป
- ต้องไม่ถูกเลิกจ้างในกรณี ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
สิทธิประโยชน์
- ในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง ได้รับเงินชดเชย 50% ของเงินเดือน (สูงสุดไม่เกิน 180 วัน คำนวณจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท)
- ในกรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างงาน ได้รับเงินชดเชย 30% ของเงินเดือน (สูงสุดไม่เกิน 90 วันคำนวณจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท)ค
8. เกษียณไปมีค่าขนม
กรณีบำนาญชราภาพ
เงื่อนไขการใช้สิทธิ์
- จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (ไม่ต้องจ่าย 180 เดือนติดต่อกัน) มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
- สิทธิประโยชน์
- ถ้าจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือน ในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ประมาณ 3,000 ต่อเดือน)
- ถ้าจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนจะได้รับการปรับเพิ่มบำนาญชราภาพอีกร้อยละ 1.5 สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนทุกๆ 12 เดือนที่จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนนั้น
กรณีบำเหน็จชราภาพ
เงื่อนไขการใช้สิทธิ์
- จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
สิทธิประโยชน์
- ถ้าจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ
- ถ้าจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายสมทบ พร้อมทั้งผลประโยชน์ตอบแทนที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด
- กรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือนนับตั้งแต่ได้สิทธิบำนาญชราภาพ จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
แล้วถ้าถามว่าสิทธิประกันสังคมมาตรา 33 39 และ 40 ต่างกันอย่างไร มีสิทธิ์อะไรบ้าง?
- มาตรา 33 คือ ผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างถูกบังคับให้ส่งเงินสมทบตามกฎหมาย
- มาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจเคยเป็นลูกจ้าง แต่ลาออก แล้วยังส่งประกันสังคมต่อเอง
- มาตรา 40 คือ ผู้ประกันตนนอกระบบที่ไม่เข้าข่าย 33 กับ 40 ซึ่งมาตรา 40 มี 3 ทางเลือกสมทบเงินไม่เท่ากัน
มาดูกันว่าแต่ละมาตรามีสิทธิ์อะไรบ้าง?
*หมายเหตุ แต่ละมาตรา และแต่ละช่วงเวลา อาจจะมีการสะสมเงินไม่เท่ากับตามนโยบายของภาครัฐ และสิทธิเงินบำนาญ เงินบำเหน็จจะคำนวณตามเงินที่สะสมและระยะเวลา
เป็นไงล่ะครับ บอกแล้ว ประกันสังคมมีประโยชน์เพราะฉะนั้น จ่ายไปเหอะ มันดีนะครับและใช้สิทธิ์ให้คุ้มด้วยนะ
ที่มา
www.sso.go.th
https://flowaccount.com
Preecha Manop