ทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ในปี 2562 มีหลายปัจจัยที่บ่งชี้ว่า น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการสร้างกำไร แต่อย่าเพิ่งเร่งร้อนตัดสินใจ! คุณรู้หรือไม่ว่า ยังมีประเด็นที่ต้องระแวดระวังหลายเรื่อง …ซึ่งนั่นอาจจะทำให้การทำกำไรในปีนี้ ไม่หมูอย่างที่คิด
หากประเมินสถานการณ์ลงทุนในปี 2562 โดยภาพรวม ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets : EM) น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจในกลุ่ม EM มีโอกาสจะขยายตัวได้ใกล้เคียงปี 2561 ประกอบกับคาดว่าเงินเฟ้อกลุ่ม EM จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง
โอกาสทำกำไรใน EM
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ มองว่าในปี 2562 ตลาดหุ้น EM จะมีความน่าสนใจมากขึ้น หลังจากที่ตลาดปรับตัวลงค่อนข้างมากในปี 2561 อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากผลประกอบการบริษัท ที่ยังเติบโตได้ในระดับมากกว่า 10% ทำให้ระดับมูลค่าพื้นฐานของหุ้น (Valuation) ปัจจุบันปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อมองไปถึงคาดการณ์ผลประกอบการทั้งปี 2562 ที่ผลของการลดภาษีในฝั่งสหรัฐฯ จะหมดไปนั้น ก็นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลให้การเติบโตของผลการดำเนินงานเข้าสู่สภาวะปกติ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตลาด EM จะกลับมาเติบโตได้ 11% ซึ่งดีกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่โตได้ 9% (คาดการปี 2561 EPS EM เติบโต 12%, US เติบโต 26%)
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า แม้จะมีสัญญานเชิงบวกจากหลายปัจจัย แต่ก็ยังคงมีความน่าวิตกอยู่บ้างในบางประเด็น นั่นก็คือ เรื่องของระดับหนี้สินต่อ GDP ของประเทศกลุ่ม EM ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นดังกล่าว มีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคเอกชนในประเทศจีน (คิดเป็น 65% ของหนี้สินภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น) ซึ่งถ้าตัดในส่วนของประเทศจีนออกนั้น หนี้สินต่อ GDP โดยรวมของประเทศกลุ่ม EM จะอยู่ในระดับปกติ
บลจ.ทิสโก้ ไม่คิดว่าเศรษฐกิจจีนจะเกิด Hard Landing เพราะปัจจุบันดุลบัญชีเดินสะพัดยังอยู่ในระดับที่เกินดุล , นโยบายการเงินและการคลังก็ไม่ได้ตึงตัวจนเกินไป ดังนั้น เศรษฐกิจจีนปี 2562 ก็ยังน่าจะขยายตัวได้ในระดับประมาณ 6%
ปัจจัยที่ทำให้การลงทุนไม่หมู
แม้จะมีปัจจัยบวกที่สะท้อนว่า นักลงทุนสามารถสร้างโอกาสทำกำไรในการลงทุนตลาด EM ปีนี้ได้ แต่ก็มีสิ่งที่นักลงทุนจะต้องจับตา นั่นก็คือ อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ซึ่งได้แก่
1. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ในกรณีที่ทั้งสองประเทศขึ้นภาษีการนำเข้าของสินค้าทุกประเภทสู่ระดับ 25% อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ และก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
2. การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดี และธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต้องขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด จะส่งผลให้เกิดแรงกดดันให้ธนาคารกลางของประเทศในกลุ่ม EM ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าความจำเป็นภายใต้ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เป็นอยู่ ในกรณีนี้นั้นจะส่งผลให้ความคล่องตัวทางการเงินภาคธุรกิจตึงตัวขึ้น และกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้
3. ความเสี่ยงทางการเมืองประเทศกลุ่ม EM และประเทศอื่น
ในปี 2562 จะมีการเลือกตั้งในประเทศอินโดนีเซีย และอินเดีย ประกอบกับความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ในประเทศบราซิล และเม็กซิโก ในขณะเดียวกันในกลุ่ม EU ก็ยังเผชิญความไม่แน่นอนจากประเด็นร่างงบประมาณของอิตาลี และความกังวลว่าการเจรจา Brexit จะล้มเหลว ซึ่งก็ถือเป็นประเด็นที่มีผลต่อการลงทุนเช่นกัน
ภายใต้บรรยากาศที่ ตลาด EM เริ่มฉายแววโดดเด่น นักลงทุนก็ยังต้องลงทุนอย่างรอบคอบ เพราะการลงทุนปีนี้ ไม่ใช่เรื่องหมูๆ อย่างแน่นอน
ที่มาบทความ : https://www.facebook.com/tiscomastery/