ในสงครามนั้นมีคำพูดสำคัญข้อหนึ่งก็คือ “สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร” เรื่องหุ้นเองนั้น บ่อยครั้งก็มีการเปรียบเทียบกับสงครามเนื่องจากการลงทุนนั้นเป็น “กิจกรรมแห่งการต่อสู้” ที่รุนแรงคล้าย ๆ กับสงคราม ดังนั้น ในแวดวงหุ้นเองคนก็มักจะพูดว่า ตราบใดที่คุณยังลงทุนอยู่ เช่นยังถือพอร์ตลงทุนหุ้นจำนวนมากไว้หรือถือหุ้นบางตัวไว้ ก็จงอย่าคิดว่าคุณประสบความสำเร็จทำเงินมากมายแล้ว เหตุผลก็เพราะว่า พอร์ตและ/หรือหุ้นที่มีกำไรมหาศาลนั้น อาจจะตกลงมาอย่างแรงจนกำไรหดหายหรือกลายเป็นขาดทุนได้ ดังนั้น จงอย่าชะล่าใจและเปิดตัวเองให้อยู่ในความเสี่ยงที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น การลงทุนในหุ้นนั้น เราควรที่จะ “ถ่อมตน” อยู่เสมอตราบที่เรายังคงลงทุนอยู่ และนี่ก็คือบทเรียนแรกที่ผมคิดว่าเราน่าจะได้จากการลงทุนในช่วงปี 2561 ที่ VI จำนวนมากรวมถึง “เซียนหุ้น” ขาดทุนหรือมูลค่าพอร์ตลดลงมามากแทบจะเป็น “หายนะ”
ในการลงทุนนั้น ผมคิดว่ามันเป็นกิจกรรมระยะยาวหรือแม้แต่ตลอดชีวิต แม้แต่คนที่ “เล่นสั้น” ซื้อขายหุ้นรายวัน แต่ถ้าเขาก็ทำแบบนั้นเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานหรือ “ตลอดชีวิต” มันก็คือเกมระยะยาวเช่นเดียวกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หากเราเป็นคนที่มีเงินเหลือเก็บจากการทำงานใช้แรงงาน เงินที่เหลือเก็บนั้นโดยนิยามก็คือเงิน “ลงทุน” เพราะคงไม่มีใครเก็บเป็นเงินสดที่เป็นธนบัตร มันจะต้องถูกนำไปฝากธนาคารหรือซื้อตราสารทางการเงินหรือนำไปซื้อทรัพย์สินเพื่อการลงทุนซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น โดยนิยามแล้ว ทุกคนที่มีเงินเหลือเก็บก็เป็นคนที่ต้องลงทุนหรือเป็นนักลงทุนและเป็นนักลงทุนระยะยาวตลอดชีวิต ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุนนั้น ในบางช่วงก็ดีเลิศหรือดี บางช่วงก็แย่หรือแย่มาก ถ้า “บังเอิญ” ว่าเราทำผลตอบแทนได้ดีเยี่ยมมายาวอาจจะเป็น 10 ปี ก็จงอย่าคิดว่าเรา “เก่งมาก” หรือเป็น “เซียน” แม้ว่าจะมีคนอื่นยกย่องชื่นชมเรา เพราะเป็นไปได้ว่าวันหนึ่ง เช่นในปี 2561 เราอาจจะ “แพ้” กำไรที่เคยทำมาได้หายหมดหรือลดลงมากจนทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นนั้น ไม่ได้สูงกว่าปกติเท่าไรนัก และนี่ก็คือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นตลอดเวลาและเกิดขึ้นกับ “เซียน” ระดับโลกด้วย
ปี 2561 นั้น ผมคิดว่ามันเป็นปีที่ “หมดรอบ” ในหลาย ๆ เรื่อง ความหมายก็คือ สิ่งต่าง ๆ ที่มักเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร ดี-ร้ายนั้น หมุนมา “ครบรอบ” เช่น แรงเก็งกำไรในหุ้นแบบต่าง ๆ ที่ทำให้หุ้นขึ้นไปแรงมากเป็นเวลาหลายปี พอถึงปี 2561 มันก็ถึงจุดสุดยอดและก็เริ่มปรับตัวลงแรงและดูจะไม่สามารถดีดตัวขึ้นในระยะสั้นอย่างที่เคยเป็นอีก ดังนั้น ผมคิดว่ามันน่าจะ “จบรอบ” หรือ “อวสาน” และต้องรอเวลาอีกนานพอสมควรกว่าที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นรอบใหม่ และการที่มันจบรอบหรือ “สงครามสงบ” แม้ว่ามันจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” นี้เอง ผมจึงคิดว่าเราน่าจะมาทบทวนดูว่าเราได้รับบทเรียนอะไรบ้าง
จากประสบการณ์ของผมเองนั้น ผลงานการลงทุนที่ดีนั้นมักจะเกิดขึ้นเพราะหุ้นบางตัวที่มีขนาดใหญ่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นต่อเนื่องยาวนานซึ่งนั่นช่วยทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตเติบโตหรือต้านทานภาวะเลวร้ายของตลาดได้ ถ้าจะพูดภาษาสงครามหน่อยก็อาจจะบอกว่า เรามี “เรือธง” ที่ยิ่งใหญ่ที่คอยค้ำจุนหรือปกป้องน่านน้ำหรือเขตสงครามที่ทำให้กองทัพประสบความสำเร็จและยืนหยัดอยู่ได้ เรือธงนั้นเองก็ “ถูกถล่ม” เช่นเดียวกัน แต่มันไม่จมและมันพร้อมที่จะกลับมาสู้รบอย่างห้าวหาญต่อไป อย่างไรก็ตาม มีโอกาสเสมอที่มันอาจจะถูกถล่มจนจมลงแบบเดียวกับที่เรือบิสมาร์กที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมันถูกรุมล่าจนจมลงมาแล้วในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
บทเรียนที่ว่าเราต้องมีเรือธงหรือหุ้นที่ยิ่งใหญ่หรือหุ้นที่ในช่วงเวลายาวนานระดับหนึ่งสร้างผลงานที่น่าประทับใจจนทำให้ผลงานโดยรวมของเราดีต่อเนื่องยาวนานนี้ ผมคิดว่ามันเป็นบทเรียนที่ปีเตอร์ ลินช์พูดไว้ในหนังสือเรื่อง One Up On Wall Street ที่เขาเล่าว่าการเติบโตหรือผลตอบแทนของหุ้นจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ของเขานั้นก็ไม่ได้สูงผิดปกติอะไร มัน “ธรรมดา” มาก เหตุผลก็อาจจะเป็นว่าเขาถือหุ้นเป็นพันตัวซึ่งมันยากมากที่จะมีผลงานดีทุกตัว แต่หุ้นที่ทำให้พอร์ตเขาดูดีมากก็คือหุ้นบางตัวที่เขาถือไว้จำนวนมากตั้งแต่ราคายังต่ำและบริษัทที่อาจจะเพิ่ง “Turnaround” หรือเติบโตนั้น เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีในอัตราที่สูงและกลายเป็น “หุ้น 10 เด้ง” และนี่คือหุ้นที่เขาถือยาวนานติดต่อกันหลายปี ผลก็คือ ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีมากของเขาส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในหุ้นแบบนี้
บทเรียนสำคัญต่อมาก็คือ การ “หลีกเลี่ยงหายนะ” จากหุ้นที่เราลงทุน นี่ก็คือจะต้องประเมินความเสี่ยงของหุ้นทุกตัวว่ามันเป็นอย่างไร ความเสี่ยงสูงแค่ไหนและต้องเป็นความเสี่ยงทุกด้านรวมถึงความเสี่ยงที่เราใช้ Leverage หรือการกู้ยืมเงินมาลงทุนหรือการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการเพิ่มอัตราความเสี่ยงขึ้นไปสูงมากเช่น การใช้บล็อกเทรดเป็นต้น และนอกจากความเสี่ยงของตัวกิจการและตัวหลักทรัพย์เองแล้ว เราก็ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิด Fraud หรือการโกงและการหลอกลวงในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงระบบบัญชีของบริษัทโดยเฉพาะเวลาที่เราดูแล้วมัน “Too good to be true” หรือมันดูดีจนไม่น่าเป็นไปได้ ในช่วงปี 2561 และก่อนหน้านั้น 2-3 ปี ดูเหมือนว่าเราจะพบหุ้นประเภทนี้ค่อนข้างมาก
บทเรียนอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะจดจำก็คือ หุ้นที่มี “คนเชียร์กันอื้ออึง” นั้น ก็เป็นไปตามที่บัฟเฟตต์เคยพูดไว้ว่า เรามักจะต้องจ่ายเงินซื้อแพงเกินไปและทำให้เรา “เสียเงิน” ช่วงก่อนหน้านี้เราได้เห็นว่ามีหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกเชียร์กันอย่างกว้างขวางว่าจะเติบโตยิ่งใหญ่เหมือนอย่างหุ้นที่ยิ่งใหญ่ในต่างประเทศโดยนักลงทุน นักวิเคราะห์ ผู้บริหารบริษัท และสื่อต่าง ๆ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นไปสูงมาก แต่แล้วเมื่อตัวเลขผลประกอบการที่ทยอยออกมาไม่รองรับ ราคาหุ้นก็ปรับลดลงมาหนักมากซึ่งทำให้คนที่ตื่นเต้นกับเสียงเชียร์และเข้ามาซื้อหุ้นขาดทุนจำนวนมาก
อีกบทเรียนหนึ่งที่ปี 2561 ตอกย้ำก็คือ การคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นนั้น เป็นเรื่องที่มีประโยชน์น้อยในการลงทุน ส่วนใหญ่แล้วโอกาสที่จะถูกหรือผิดนั้นเท่า ๆ กันและบ่อยครั้งถึงคาดถูกก็ไม่มีประโยชน์เพราะเราเป็นนักลงทุนที่เลือกลงทุนเองไม่ใช่คนที่ซื้อกองทุนรวมอิงดัชนี ปี 2561 นั้น คนส่วนใหญ่น่าจะคาดในช่วงต้นปีว่าจะเป็นปีที่ดีเพราะดัชนีหุ้นก็เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อหมดปี ผลปรากฏว่าดัชนีก็ตกลงมา “แรง” คือประมาณ 11% แต่ถ้ามองจากประวัติศาสตร์ การตกแค่นี้ก็ถือว่า “ธรรมดา” เป็นแค่ Correction หรือการ “ปรับตัว” ของตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในภาพเล็กลงมาและในสายตาของนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากแล้ว ปี 2561 น่าจะถือว่าเป็นปี “วิกฤติ” เพราะหุ้นตัวเล็กและกลางที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบลงทุนนั้นจำนวนไม่น้อยราคาตกลงมาน่าจะเกิน 30%
สุดท้ายสำหรับบทเรียนจากปี “วิกฤติ” รอบนี้ก็คือ หุ้นที่จะ “อยู่รอด” หรือตกลงมาไม่มากและอาจจะพร้อมที่จะกลับขึ้นมาใหม่ก็คือหุ้นที่ความสามารถในการแข่งขันของกิจการยังแข็งแกร่ง และ/หรือ บริษัทยังเติบโต และ/หรือ ราคาหุ้นไม่แพงเกินไป และนี่คือหุ้นที่สามารถ “ฝ่ามรสุม” ของตลาดหุ้นได้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์
ที่มาบทความ: thaivi.org