ในช่วงปลายปี 2561 ต้องบอกว่ามันเป็น “ฝันร้าย” ของนักลงทุนหุ้น ไม่ว่าจะลงทุนระยะสั้น หรือลงทุนระยะยาว ต่างก็หวาดวิตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตลาดหุ้นถูกเทอย่างหนัก สาเหตุก็ต่างหามาอธิบายกันหลายกรณี ได้แก่ สหรัฐขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินไหลออก สงครามการค้าที่คุกกรุ่น ความวิตกกังวลว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่มีปัญหาค่าเงินอ่อนค่าอย่างรุนแรง หรือแม้แต่ความกังวลเรื่องการใช้หุ่นยนต์ AI เข้ามาเทรดหุ้นแข่งกับมนุษย์ เป็นต้น
สิ่งที่น่าหวาดกลัวเหล่านี้ ล้วนสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอย่างไม่ต้องสงสัย และที่สำคัญ “พอร์ตการลงทุน” ของพวกเราก็มักจะติดลบตัวแดงกันเป็นทิวแถว … การเล่นหุ้นปรับพอร์ต แก้ไขอะไรบางอย่างในภาวะแบบนี้ควรจะทำอย่างไรบ้าง … ให้นายแว่นลงทุนเล่าให้ฟังนะครับ
กลยุทธ์แรก “คัดหุ้นคุณภาพต่ำออกไปจากพอร์ต”
ในตอนที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ทุกอย่างดูดีไปหมด ทำให้เราอาจเผลอซื้อหุ้นคุณภาพต่ำเข้ามาในพอร์ตการลงทุนของเรา และพอเกิดภาวะวิกฤต แน่นอนว่าหุ้นคุณภาพต่ำมักจะทนต่อสภาวะแบบนี้ไม่ได้ ทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก
สิ่งที่นักลงทุนควรทำก็คือ รีบตัดเนื้อร้ายทิ้งไปซะ ! หุ้นคุณภาพต่ำควรถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะตัดออกไปจากพอร์ตของเราเสีย โดยปกติแล้วหากเรามีการกระจายการลงทุนในหุ้นมากพอ ภาวะนี้เป็นโอกาสที่เราจะลดการกระจายและโฟกัสมากขึ้นกับหุ้นคุณภาพดีเท่านั้น
กลยุทธ์ที่สอง “เปลี่ยนไปซื้อหุ้นปันผลแทนหุ้นเติบโต”
กลยุทธ์นี้ที่จริงนักลงทุนระดับปรมาจารย์ อย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรกร ก็นำมาใช้ลงทุนในภาวะแบบนี้ โดยอาจารย์จะเลือกลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดี แทนการลงทุนในหุ้นเติบโต
การลงทุนหุ้นเติบโตในภาวะวิกฤต ที่เราต้องประเมินการเติบโตใหม่ อาจไม่ใช่คำตอบ แต่การลงทุนในหุ้นปันผลที่เราเห็น “เงินปันผล” แน่ ๆ นอน ๆ น่าจะดีกว่า เช่น เราลงทุนในหุ้นปันผลซึ่งในภาวะวิกฤตเราอาจเห็นระดับปันผลมากถึง 10% ต่อปี แค่ทิ้งเอาไว้สิบปีเราก็จะได้เงินต้นคืนเต็มร้อยแล้ว แต่ควรลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีเท่านั้นนะครับ
กลยุทธ์ที่สาม “ต้องประเมินมูลค่าหุ้นในพอร์ตของเราใหม่หมด”
ในภาวะวิกฤต ตลาดจะปรับพีอีหุ้นให้ใหม่แทบทุกตัว หุ้นที่เคยได้พีอีสูง ๆ แพงมาก ๆ จะถูกปรับให้ถูกลง ยิ่งพีอีสูงมาก ยิ่งถูกปรับให้ลดลงมาก นอกจากหุ้นตัวนั้นจะมีการผูกขาดอะไรบางอย่าง ทำให้ตลาดไม่คิดจะปรับพีอีให้ลดลงกับหุ้นประเภทนั้น
ในภาวะเยี่ยงนี้ เราควรหันมาทบทวนหุ้นในพอร์ตของเรา และประเมินมูลค่าใหม่หมด ต้องทำการบ้านเพื่อวิเคราะห์ และสังเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงออกมา และปรับพอร์ตให้เหมาะสม โดยพีอีโดยรวมของพอร์ตเราควรจะลดลงตามภาวะตลาดจะดีกว่าที่เราลงทุนในหุ้นพีอีสูงจำนวนมาก และพาตัวเราเข้าสู่ภาวะเสี่ยงภัยโดยใช่เหตุ
กลยุทธ์สุดท้าย “อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร”
กลยุทธ์นี้นักลงทุนรายใหญ่หลายท่านก็แนะนำให้เราทำแบบนี้ หากเรามั่นใจว่าหุ้นที่เราถือในพอร์ตมันดีอยู่แล้ว การลดลงของราคาหุ้นเป็นเพียงภาวะชั่วคราว เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้อยู่เฉย ๆ
แต่หากเรายังมีเงินสดเหลือพอ ถ้าหุ้นตกลงมามาก ๆ ก็จะเป็นจังหวะในการซื้อเพิ่มด้วยซ้ำ แต่หากใครไม่มั่นใจการถือเงินสดไว้ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวร้ายอะไรเลยนะครับ
ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ … ในภาวะวิกฤต การลงทุนของเราต้องปรับให้เข้ากับสภาวะ เราอาจขายหุ้นคุณภาพต่ำทิ้ง ไปเพิ่มหุ้นคุณภาพสูงแทน หันไปลงทุนหุ้นปันผลคุณภาพดี ประเมินราคาหุ้นใหม่หมด และถ้าเราคิดว่าหุ้นที่เราถือดีอยู่แล้วพื้นฐานไม่เปลี่ยน ก็ควรอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยจะดีที่สุดครับ
โดย นายแว่นลงทุน