ในช่วงไม่กี่ปีก่อน 2014 – 2015 เป็นปีที่มีกระแสการใช้พลังงานทางเลือกแทนที่พลังงานดั้งเดิมอย่างรุนแรง
ถ่านหินและนำ้มันดิบในช่วงปีน้ันได้รับผลกระทบอย่างมากจากกระแสที่รุนแรงดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ราคาของทั้งสองแหล่งพลังงานตกลงอย่างรุนแรงเกินกว่า 50%
จะว่าไปแล้วถ่านหินเองก็มีแนวโน้มที่ไม่ดีมาก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร เนื่องจากเทรนด์ใหญ่ของโลกต่างปรับตัวไปสู่พลังงานทางเลือกชัดเจน
แต่ในภาวะที่ทุกอย่างดูมืดมนสำหรับพลังงานถ่านหินหรือน้ำมัน ก็เป็นโอกาสสำหรับใครหลายๆ คนที่ยังมองเห็นคุณค่าของพลังงานทั้งสอง โอกาสนั้นก็คือการเห็นว่าโลกเราไม่ได้สามารถเปลี่ยนแหล่งพลังงานได้ง่ายเหมือนเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
ปัจจุบันแหล่งพลังงานสามารถแบ่งออกเป็นหลักๆ 5 ประเภท
1. น้ำมัน
2. ถ่านหิน
3. แก๊ซธรรมชาติ
4. พลังงานหมุนเวียน
5. นิวเคลียร์
สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ ในทุกๆ วันโลกมีความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น
จากการคาดการณ์ของ World Energy Outlook พบว่าภายในปี 2020 โลกเราจะมีความต้องการพลังงาน 14.4 Btoe และภายในปี 2025 จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 15.2 Btoe
ถามว่าหน่วย Btoe คืออะไร? Btoe (Billion tonne of oil equivalent) คือปริมาณพลังงานที่ถูกแปลงให้เป็นหน่วยพลังงานเดียวกัน คือพลังงานจากน้ำมันดิบ
ลองมาเจาะดูกันว่าสัดส่วนของพลังงานแต่ละประเภทจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
ปี 2020 รวม 14.4 Btoe
- นิวเคลียร์ 0.8 Btoe (5%)
- พลังงานหมุนเวียน 2.1 Btoe (15%)
- แก๊ซธรรมชาติ 3.2 Btoe (22%)
- ถ่านหิน 3.8 Btoe (27%)
- น้ำมัน 4.5 Btoe (31%)
ปี 2025 รวม 15.2 Btoe
- นิวเคลียร์ 0.9 Btoe (6%)
- พลังงานหมุนเวียน 2.4 Btoe (16%)
- แก๊ซธรรมชาติ 3.4 Btoe (22%)
- ถ่านหิน 3.9 Btoe (25%)
- น้ำมัน 4.6 Btoe (31%)
จะเห็นชัดว่ากลุ่มพลังงานที่เติบโตสูงที่สุดคือพลังงานหมุนเวียน ในขณะที่พลังงานอื่นๆ เติบโตต่ำกว่า และถ่านหินจะเป็นพลังงานที่เริ่มมีสัดส่วนที่น้อยลงเมื่อเทียบกับประเภทอื่น แม้ถ่านหินจะมีสัดส่วนน้อยลง แต่ปริมาณถ่านหินก็ยังเติบโตขึ้นอยู่เช่นกัน
สาเหตุที่ทำให้ถ่านหินยังมีอนาคตต่อคือการพัฒนาของประเทศเกิดใหม่ เช่น อินเดีย อินโดนิเซีย หรือแม้กระทั่งเวียดนาม
ถึงแม้ว่ากระแสพลังงานทางเลือกจะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่พื้นฐานที่สำคัญของการใช้พลังงานทางเลือกคือเงินลงทุนจำนวนที่สูงกว่าพลังงานดั้งเดิม
การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดได้ บ้านเมืองที่พัฒนาและการบริโภคของประชากรที่มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นเหมือนเงาตามตัว
ด้วยเหตุผลนี้เอง แนวโน้มที่ประเทศที่กำลังพัฒนาจำเป็นที่จะยังต้องใช้พลังงานจากถ่านหินจะคงยังมีอยู่และมากขึ้นเรื่อยๆ
เราลองมาทำความเข้าใจแหล่งพลังงานแต่ละประเภทกันดู
นิวเคลียร์
ถือเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและให้ประสิทธิภาพที่สูง แต่ด้วยข้อเสียอย่างการรั่วไหลของรังสีเป็นอันตรายอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันพลังงานนี้จึงยังไม่สามารถทดแทนพลังงานประเภทอื่นได้
พลังงานหมุนเวียน
เป็นพลังงานสะอาดที่ได้มาฟรีและไม่มีวันหมด แต่ข้อจำกัดคือ ขาดเสถียรภาพและประสิทธิภาพก็ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ ทำให้การใช้พลังงานนี้เป็นหลักเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน อีกทั้งยังใช้เม็ดเงินในการลงทุนสูงเพื่อให้ได้พลังงานที่พอเพียงต่อการใช้งานเมื่อเทียบกับประเภทอื่น
น้ำมัน
เป็นแหล่งพลังงานที่เคยมีราคาถูกในอดีต ถูกในระดับที่สามารถมีโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงได้ แต่ในปัจจุบันน้ำมันแพงขึ้น การใช้งานจึงจำกัดเฉพาะยานพาหนะเพราะขนย้ายได้ง่ายและประหยัดพื้นที่กว่าถ่านหิน
แก๊ซธรรมชาติ
เป็นแหล่งพลังงานที่แพงกว่าน้ำมัน ดังนั้นในอดีตจึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก จนกระทั่งในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นและประกอบกับการค้นพบแหล่งแก๊ซมากขึ้นทำให้ต้นทุนถูกกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก ข้อดีอีกส่วนคือแก๊ซธรรมชาติเผาผลาญได้สะอาดกว่าน้ำมันและถ่านหิน แต่ข้อจำกัดคือการขนส่งซับซ้อนกว่า
ถ่านหิน
เป็นเชื้อเพลิงที่ถูกใช้มากว่าพันปี เป็นแหล่งพลังงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงนักในการขุดเจาะ ขนส่งได้ง่ายไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษ และยังมีปริมาณเชื้อเพลิงสำรองในระดับสูง ดังนั้นต้นทุนของเชื้อเพลิงถ่านหินจึงถูกกว่า แต่ข้อเสียคือมลภาวะจากถ่านหินสูงมากกว่าอย่างอื่น
จริงๆ การแข่งขันของแหล่งเชื้อเพลิงมีด้วยกันหลักๆ เพียง 2 ปัจจัย คือ 1) ความสะอาด 2) ราคา
เมื่อราคาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กำหนดความต้องการของเชื้อเพลิง จึงเป็นสาเหตุที่สำคัญว่าประเทศที่ยังมีทรัพยากรและความมั่งคั่งไม่มากยังมีต้องการพลังงานในต้นทุนที่ต่ำ
เพราะต้นทุนต่ำทำให้สามารถลงทุนให้พอเพียงต่อความต้องการได้ และท้ายที่สุดก็สามารถรองรับเศรษฐกิจและการบริโภคที่กำลังเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และเมื่อประเทศนั้นมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น จึงสามารถลงทุนในพลังงานที่มีต้นทุนสูงขึ้นได้ เพื่อแลกกับความสะอาดต่อสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้น
มีเพียงไม่กี่ทางที่สามารถหยุดการใช้ถ่านหินได้ คือเทคโนโลยีที่สามารถผลิตพลังงานได้มากพอแก่ความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในต้นทุนที่ถูก มีเสถียรภาพ และขนส่งได้ง่าย
หรือประเทศที่พัฒนาแล้วหันกลับมาช่วยประเทศที่กำลังพัฒนาในการลงทุนพลังงานประเภทอื่นๆ ที่สะอาดกว่าถ่านหิน
แต่ประเทศใดกันที่จะรอความช่วยเหลือจากภายนอก ในขณะที่ภายในประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะหากขาดแหล่งพลังงานที่เพียงพอ ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ที่มาบทความ: http://investdiary.co/2018/11/04/157/
Ref:
https://www.set.or.th/dat/registration/oppday/presentation/2018q2/20180817-2018Q2-BANPU.pdf
https://www.forbes.com/sites/brianpotts/2017/03/29/one-thousand-years-from-now-well-still-be-burning-coal/#5457196d5773
https://www.bcg.com/publications/2018/why-coal-will-keep-burning.aspx
http://www.differencebetween.net/science/nature/difference-between-crude-oil-and-natural-gas/