คำถาม “ยอดฮิต” ในเรื่องของการลงทุนที่ “ผู้เชี่ยวชาญ” ได้รับเป็นประจำก็คือ “เข้าได้หรือยัง” ซึ่งก็คือ “ภาวะตลาดหรือดัชนีตลาดระดับนี้เราควรเข้าไปซื้อหุ้นได้หรือยัง” ส่วนคำถามที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงและอาจจะมีผลพอ ๆ กันก็คือ “ควรขายหรือยัง” นั้น มักจะมีน้อยกว่ามาก เพราะคนที่คิดจะขายส่วนใหญ่ก็มักจะขายไปแล้วเวลามีกำไรหรือกำไรงดงามไม่มารอถามผู้เชี่ยวชาญ ส่วนคนที่ขาดทุนนั้นก็มักจะขายไปแล้วเช่นกันเวลาขาดทุนไม่มาก หรือถ้าขาดทุนมากก็มักจะไม่ยอมขายและยอมรับว่า “ติดหุ้น” ยังไงก็ “ขายไม่ลง” แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะบอกว่าควรขาย
คำถามว่าควรเข้าลงทุนในตลาดหรือยังหรือควรเข้าไปซื้อหุ้นหรือยังนั้น มองเฉพาะในระยะยาวแล้ว ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะที่เป็นนักวิชาการก็มักจะบอกว่าเราแทบไม่ต้องสนใจเรื่องของเวลาหรือระดับดัชนีที่เหมาะสม เหตุผลก็เพราะเราไม่รู้ว่าดัชนีระดับไหนเหมาะสม ราคาหุ้นหรือดัชนีที่เห็นตลอดเวลานั้นเป็นดัชนีที่เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่มีคำว่าหุ้นถูกหรือแพงไม่ต้องพูดว่าดัชนีตลาดหุ้นสูงหรือต่ำเกินไป ดังนั้น พวกเขาก็จะบอกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในระยะยาวแล้วก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด และเฉลี่ยแล้วก็จะได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น บางคนบอกว่า 12% ก็มี โดยที่เขาไม่เคยบอกเลยว่าต้องลงทุนตอนไหน ที่จริงถ้าถูกจี้ให้บอกเขาก็จะบอกว่าลงได้ทุกเวลา แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่อาจจะไม่จริง มันอาจจะจริงใน “บางเวลา”และ “บางตลาด” โดยที่บางเวลาก็คือในช่วงเวลาที่หุ้นหรือตลาดหุ้นมีราคาถูกหรือราคายุติธรรม และบางตลาดก็คือตลาดในประเทศที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดีต่อเนื่องยาวนานนับจากวันที่ลงทุน
หุ้นในตลาดสหรัฐนั้น จากการศึกษาอาจจะพบว่าในระยะยาวมาก เช่น ประมาณ 30 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นมักจะสูงถึง 10% ต่อปีแบบทบต้นโดยเฉลี่ย แต่หากมองในระยะสั้นกว่านั้น เช่นอาจจะ 10-20 ปี ผมคิดว่ามีช่วงเวลาค่อนข้างมากที่เราเข้าไปลงทุนแล้วถือไปอีก 10 หรือแม้แต่ 20 ปี ผลตอบแทนกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด บางทีอาจจะยังไม่มีกำไรด้วยซ้ำไป กลายเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า และคนที่เจออย่างนั้นก็มักจะมีไม่น้อย เหตุผลก็เพราะว่าวันที่เขาเข้าไปลงทุนนั้น มักจะเป็นวันที่ตลาดหุ้นคึกคักมาก ดัชนีตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงสุดพร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายมหาศาลที่มาจากนักลงทุนรายย่อยที่กำลัง “บ้าหุ้น” เพราะเห็นคนที่ร่ำรวยจากตลาดหุ้นเต็มไปหมด แต่วันที่เขาเข้าไปลงทุนนั้นกลับกลายเป็นวันที่เลวร้ายมาก ไม่ใช่วันที่ควรเข้าไปซื้อหุ้น แต่เป็นวันที่ควรขายหุ้นถ้าเขาถืออยู่
เรื่องของตลาดหรือประเทศเองก็เป็นเรื่องสำคัญ ผมคิดว่าเราอาจจะไม่เคยคิด เราศึกษาจากประเทศอเมริกาที่มีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีมากต่อเนื่องยาวนาน และมีระบบการปกครองที่มีความเป็นเสรีโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ที่เอื้ออำนวยให้บริษัทเอกชนแสวงหากำไรโดยการแข่งขันที่สมบูรณ์ในตลาดซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนมีค่าเต็มที่ตามพื้นฐานของมัน ดังนั้น มูลค่าของหุ้นก็เพิ่มขึ้นเร็วโดยมีอัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 10% ต่อปี และนี่ก็คือผลตอบแทนที่สูง “ระดับโลก” น่าจะมีน้อยประเทศหรือน้อยตลาดในโลกที่ทำผลตอบแทนได้ในระดับนี้
บังเอิญว่าประเทศไทยเองก็มีเศรษฐกิจที่โตเร็วมากต่อเนื่องมายาวนานน่าจะไม่น้อยกว่า 50 ปี และก็มีระบบเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีเสรีในการประกอบธุรกิจที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนสามารถทำกำไรได้เต็มที่ตามพื้นฐานของมัน ดังนั้น มูลค่าหุ้นของตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่เปิดตลาดในปี 2518 เป็นเวลากว่า 43 ปีจึงมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานและสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ประมาณ 10% แบบทบต้น โดยที่ผลตอบแทนจากราคาหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 1756 ในวันที่ 21 กันยายน 2561 คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 6.82% และมาจากเงินปันผลน่าจะประมาณ 3% เศษ ๆ ต่อปี ซึ่งทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนถือหุ้นไทยโดยเฉลี่ยเท่ากับประมาณ 10% ต่อปีพอ ๆ กับตลาดหุ้นสหรัฐเช่นเดียวกัน
แต่นั่นคือ “อดีต” ผลตอบแทนใน “อนาคต” นับจากวันนี้อาจจะไม่เหมือนกันถ้าประเทศไทยไม่ได้เติบโตเหมือนเดิม และผมก็เชื่อว่าไทยจะโตช้าลงมาก เหตุผลก็เพราะเรื่องของสังคมสูงอายุที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งทำให้เป็นไปได้ยากที่เศรษฐกิจของเราจะโตแบบเดิม และนั่นอาจจะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นนับจากนี้จะได้ผลตอบแทนต่ำกว่า 10% ในระยะยาว ตัวอย่างที่เห็นก็คือ ประเทศและตลาดหุ้นของญี่ปุ่นที่นอกจากจะไม่ได้ผลตอบแทนสูงเป็น 10% ต่อปีแล้ว ยังมีผลตอบแทนที่ “ติดลบ” ในระยะยาวในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมาอานิสงค์จากการที่สังคมญี่ปุ่นแก่ตัวลงอย่างมาก
นอกจากการที่ตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีเลิศถึง 10% ต่อปีในระยะยาวในอนาคตแล้ว ถ้าดูกันในรายละเอียดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยก็ยิ่งน่าตกใจว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีความเสี่ยงแม้แต่ในระยะยาว เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ถ้าคุณลงทุน “ผิดเวลา” เช่น คุณลงทุนซื้อหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์ในปี 2518 และถือหุ้นมา 10 ปีจนถึงปี 2528 ดัชนีปรับตัวขึ้นจาก 100 จุดเป็นประมาณ 140 จุด คิดแล้วให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีแค่ 3.4% รวมปันผล 3% ก็เท่ากับปีละ 6.4% น้อยกว่าการฝากเงินในยุคนั้นที่ให้ดอกเบี้ยค่อนข้างสูงเสียอีก
หรือที่เลวร้ายกว่านั้นมากก็คือ คุณลงทุนในช่วง Peak หรือช่วงที่ตลาดหุ้นบูมหนักมากในช่วงที่เศรษฐกิจไทยโตเป็น 10% ต่อปีติดต่อกันหลายปีและตลาดหุ้นขึ้นถึง 1754 จุดในช่วงต้นปี 2537 และคุณ “ถือหุ้นระยะยาว” ไม่ได้ขายมาจนถึงวันนี้ คุณก็จะไม่ได้ผลตอบแทนจากราคาหุ้นเลยเป็นเวลาถึงเกือบ 25 ปี ปันผลที่ได้ก็อาจจะไม่ถึง 3% ต่อปีด้วยซ้ำในช่วงนี้เนื่องจากมีช่วงที่บริษัทจดทะเบียนประสบภาวะวิกฤติในปี 2540 อยู่ด้วย
ที่กล่าวถึงนั้นก็คือ “ภาพใหญ่” ที่มองค่าเฉลี่ยของหุ้นทั้งตลาดซึ่งสะท้อนถึงคนที่เน้นลงทุนในกองทุนรวมโดยเฉพาะที่อิงดัชนีเช่นคนที่ลงทุนในกองทุน SET50 เป็นต้น แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่เล่นหุ้นในตลาดเป็นประจำและนักลงทุน “VI” นั้น พวกเขามักมีความคิดอีกแบบหนึ่ง พวกเขามักจะบอกว่าเขาเล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้นรายตัว ดังนั้น ภาวะหรือดัชนีตลาดนั้นไม่สำคัญหรือสำคัญน้อย เหตุผลก็เพราะว่าตลาดอาจจะไม่ดีแต่หุ้นบางตัวนั้นก็สามารถให้ผลตอบแทนดีเยี่ยมถ้าเรา “เข้าซื้อ” ถูกจังหวะถูกเวลา เช่นเดียวกัน แม้ว่าตลาดหุ้นจะดีมากแต่ก็มักจะมีหุ้นบางตัวมีผลงานที่แย่มาก เข้าไปซื้อผิดเวลาก็เจ๊งได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดที่ดีผิดปกติหรือเลวร้ายผิดปกติก็มักจะมีผลต่อผลตอบแทนในการลงทุนในหุ้นรายตัวไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าเป็นการลงทุนระยะยาวแนว VI
สิ่งที่ผมระวังมากเวลาจะลงทุนซื้อหุ้นก็คือผมกลัวซื้อ “ผิดเวลา” แน่นอน ภาวะตลาดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการตัดสินใจที่จะซื้อหุ้น แต่มันก็มีส่วนที่ทำให้การตัดสินใจซื้อหุ้นรายตัวเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เหตุผลก็เพราะเมื่อดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นแรงหรือแรงมาก โดยปกติหุ้นส่วนใหญ่หรือเกือบทุกตัวก็มักจะปรับขึ้นด้วย และนั่นมักจะลด Margin of Safety ของการลงทุนลง ตรงกันข้าม เมื่อตลาดแย่ หุ้นส่วนใหญ่ก็มักจะถูกลง ความปลอดภัยในการลงทุนระยะยาวของเราก็จะเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น ช่วงเร็ว ๆ นี้ หุ้นที่มีผลประกอบการดีมักมีราคาแพงมาก การซื้อหุ้นเหล่านี้เราก็มีความเสี่ยงที่หุ้นอาจจะตกลงมาและทำให้ผลตอบแทนระยะยาวของเราลดลง เป็นต้น ดังนั้น นี่อาจจะไม่ใช่เวลาซื้อหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็ได้
ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ ไม่ว่าเราจะลงทุนแบบไหนรวมถึงการลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนี จังหวะเวลาของการลงทุนเป็นสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาอยู่เสมอ จริงอยู่ ส่วนใหญ่แล้วมันก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ “ลงทุนได้” โดยเฉพาะคนที่ลงทุนแบบ DCA หรือการลงทุนแบบเฉลี่ยลงทุนเท่า ๆ กันทุกเดือนหรือทุกปี แต่ในบางครั้งเราก็ต้องดูภาวการณ์ของตลาดหุ้นด้วย ซึ่งปกติเวลาที่ดีกว่าก็คือช่วงที่ดัชนีตกต่ำถ้าเราลงทุนระยะยาว นอกจากนั้น บางทีเราก็ต้องคำนึงถึงเรื่องของประเทศและตลาดหุ้นของประเทศด้วยว่า ในอนาคตระยะยาวแล้ว มันจะยังเอื้ออำนวยให้เราได้ผลตอบแทนที่ดีแค่ไหน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เวลานี้การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกก็ค่อนข้างเปิดกว้าง ถ้าเราต้องการได้ผลตอบแทนที่สูงเป็น 10% ต่อปีเราก็ต้องวิเคราะห์และทำการบ้านเพื่อให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวด้วย
ที่มาบทความ: thaivi.org