ความสามารถที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของนักลงทุน “VI พันธุ์แท้” ที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น ผมคิดว่าคือความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งที่จะเกิดขึ้น “ชั่วคราว” กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่าง “ถาวร” โดยคำว่าชั่วคราวนั้น น่าจะรวมถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรืออาจจะ 2-3 ครั้ง ซึ่งถ้าจะมองเป็นเวลา เช่น เป็นปี ก็อาจจะเกิดขึ้นปีเดียวหรือสองสามปี ในขณะที่คำว่าถาวรนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นเป็นประจำหรือยาวอย่างน้อยก็น่าจะ 4-5 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการที่บริษัทบางแห่งขายทรัพย์สินเช่นที่ดินแปลงใหญ่ออกไปแล้วได้กำไรนั้นก็จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียว ปีหน้าไม่มีอีกแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นชั่วคราว แต่กิจการผลิตและขายน้ำผลไม้ที่บริษัททำอยู่เป็นปกติและมีกำไรประมาณหนึ่งมานานหลายสิบปีนั้นถือเป็นเรื่องที่ถาวรและนักวิเคราะห์เรียกว่าเป็น Recurring Income หรือเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี
การที่บริษัทมีรายได้และกำไรโตขึ้นโดดเด่นในปีหนึ่งหรือสองปีโดยที่การโตขึ้นนั้นเกิดขึ้นจากธุรกิจเดิมไม่ได้มีการขายที่ดินหรือ “กำไรพิเศษ” อย่างอื่นนั้น นักวิเคราะห์และนักลงทุนโดยทั่วไปก็มักจะพูดว่าเป็นบริษัทที่กำลังเติบโตเร็ว ดังนั้นพวกเขาก็เชียร์และเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวนั้น ผลก็คือ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงมาก ในยามที่ตลาดหุ้นก็เป็นใจด้วย ค่า PE อาจจะขึ้นไปเป็น 50-100 เท่า คนที่เข้าไปซื้อก่อนก็ทำกำไรไปอย่าง “มโหฬาร” แต่แล้วพอเข้าปีที่สาม รายได้และกำไรก็นิ่งและ/ หรือตกลงมา คนก็ขายหุ้นกัน ราคาตกลงมามาก คนที่เข้าไปซื้อในยามที่ทุกคนคิดว่ามันคือหุ้นเติบโตก็ขาดทุนกันหนักกลายเป็น “หายนะของหุ้น” เป็นไปได้ว่าการเติบโตของหุ้นตัวนั้นเป็นการ “เติบโตชั่วคราว” ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้ในราคาที่แพงมาก โอกาสที่เราจะ “เจ๊ง” ก็มีสูง ดังนั้น การที่เรารู้หรือเข้าใจว่าบริษัทกำลังเติบโตแบบชั่วคราวหรือถาวรก็จะช่วยให้เรารอดพ้นจากอันตรายได้
การเติบโตแบบชั่วคราวนั้น ผมเคยเขียนไว้นานมาแล้วว่ามันจะเหมือนกับเด็กที่กำลัง “อ้วน” ขึ้นอาจจะเพราะว่าอาหารอุดมสมบูรณ์ เปรียบเสมือนกับสภาพของตลาดที่เอื้ออำนวย มีความต้องการสินค้าในอุตสาหกรรมมากขึ้น บริษัทในฐานะที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นก็พลอยได้ประโยชน์มียอดขายเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ Demand หรือความต้องการที่เพิ่มขึ้นนั้นในไม่ช้าก็ลดลงหรือมี Supply หรือผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ยอดขายสินค้าของบริษัทก็จะหยุดโตหรือลดลงกลับมาที่เดิม หรือเรียกว่าร่างกาย “ผอม” ลง น้ำหนักลดลง ส่วนการเติบโตแบบถาวรนั้น ผมเปรียบให้เหมือนกับเด็กที่ “สูง” ขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะมีน้ำหนักมากขึ้นและเป็นการมากขึ้นอย่าง “ถาวร” แม้ว่าในบางช่วงเขาอาจจะผอมลงและน้ำหนักจะลดลงบ้าง แต่มันก็จะลดลง “ชั่วคราว” ในที่สุดแล้วน้ำหนักก็จะกลับมาถ้าไม่ได้ป่วยไข้หรือเจ็บหนัก
การที่บริษัทจะโตแบบถาวรและมีราคาหุ้นที่สูงและแพงแบบถาวรได้นั้น โครงสร้างและ Business Model หรือรูปแบบในการทำมาหากินของบริษัทจะต้องเอื้ออำนวยให้เป็นแบบนั้น เริ่มต้นก็จะต้องดูว่าการเติบโตนั้นจะยาวนานและโตขึ้นไปได้มากเนื่องจากมันอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ไม่ใช่อุตสาหกรรมเล็กที่โตยังไงก็ได้แค่นั้นเพราะเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทจะครอบครองทั้งตลาดหรือใหญ่กว่าตัวอุตสาหกรรมได้
นอกจากเรื่องของอุตสาหกรรมแล้ว “ความสามารถในการแข่งขัน” ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้บริษัทสามารถโตได้อย่างถาวร ถ้าความสามารถของบริษัทไม่ได้สูงกว่าบริษัทอื่นมาก โอกาสที่บริษัทจะ “ชนะ” คู่แข่งก็ทำได้ยาก แต่ถ้าดูแล้วความสามารถในการแข่งขันของบริษัทค่อนข้างโดดเด่นก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะโตได้แบบถาวร สิ่งที่จะต้องวิเคราะห์เพิ่มก็คือดูว่ามันเป็นความสามารถในการแข่งขันที่ “ยั่งยืน” หรือไม่ คู่แข่งจะสามารถ “พัฒนา” ความสามารถในการแข่งขันทันไหม? ถ้าคู่แข่งน่าจะสามารถทำได้ เราก็จะต้องเข้าใจว่าบริษัทนั้นอาจจะโต “ชั่วคราว” การซื้อหุ้นที่โตชั่วคราวในราคาแพงนั้นอาจจะกลายเป็น “หายนะ” ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งมีบริษัทขายคอนโดที่โดดเด่นมากในเซ็กเตอร์ระดับกลางจนคนกล่าวขวัญไปทั่ว เปิดที่ไหนก็ขายระเบิด แต่หลังจากผ่านไป 2-3 ปี ความโดดเด่นก็หายไปเพราะมีบริษัทจำนวนไม่น้อยเข้ามาทำคอนโดในกลุ่มนี้และก็ทำได้ดีเหมือน ๆ กัน การเติบโตของบริษัทนั้นก็หยุดลง
ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันก็จะอยู่ทนและยิ่งถ้าอุตสาหกรรมยังไม่อิ่มตัว การเติบโตก็จะยั่งยืนถาวร ในอดีตนั้น ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนซึ่งก่อให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืนนั้นมักขึ้นอยู่กับเรื่องของยี่ห้อสินค้าที่โดดเด่นมาก ๆ และขนาดของธุรกิจที่ใหญ่โตมากกว่าคู่แข่งมาก ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีดิจิตอลและการสื่อสารก้าวหน้ามาก เรื่องของเครือข่ายกลายเป็นสิ่งที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างถาวร ตัวอย่างเห็นได้ชัดก็คือเรื่องของเฟซบุค ไลน์ และเจ้าของแพลทฟอร์มค้าขายออนไลน์อย่างอะมาซอนและอาลีบาบาเป็นต้น
ในตลาดของไทยเองนั้น การหากิจการที่ “โตอย่างถาวร” น่าจะมีไม่มากโดยเฉพาะในปัจจุบันที่สินค้าและบริการจำนวนมากมีการแข่งขันกันข้ามพรมแดนและบริษัทระดับโลกเข้ามาค้าขายในประเทศจำนวนมาก สิ่งที่เหลืออยู่พอให้เราเลือกลงทุนน่าจะเป็นว่าบริษัทจะโตได้อย่างมั่นคงอีกนานแค่ไหน?
การวิเคราะห์ว่าบริษัทไหนหรือสินค้าอะไรจะโตแบบชั่วคราวหรือถาวรนอกจากจะดูจากอุตสาหกรรม ความสามารถของบริษัทแล้ว เราก็จะต้องดูถึงลูกค้าที่ใช้สินค้าด้วยว่าพวกเขาเป็นใครมีพฤติกรรมอย่างไร
ถ้าเป็นเรื่องของการบริโภคส่วนบุคคลที่มีลูกค้าเป็นแสนเป็นล้านคน โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาซื้อเหมือนเดิมก็จะสูง ดังนั้น ธุรกิจเหล่านั้นก็มักจะมีความเป็น “ถาวร” สูง และถ้าตลาดยังไม่อิ่มตัว ยังมีความต้องการในสินค้าเพิ่มโดยเฉพาะในจุดที่ร้านค้าของบริษัทยังไปไม่ถึง บริษัทก็จะยังสามารถเติบโตแบบถาวรต่อไปโดยการขยายสาขาและเพิ่มยอดขายในร้านเดิมได้
ธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ด้วยการเติบโตของประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็วและความสามารถในการแข่งขันที่ไม่มีใครเหนือกว่าใครอย่างยั่งยืนก็ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับบริษัทใดบริษัทหนึ่งจะโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น สำหรับผมแล้วอาจจะมีบ้างสำหรับบางบริษัทที่จะโตได้ชั่วคราวซึ่งทำให้การซื้อหุ้นในราคาที่แพงกว่าปกติมีค่า PE เกินกว่าอุตสาหกรรมมากเป็นสิ่งที่อันตราย
ธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิงต่าง ๆ รวมถึงทีวีนั้น หลังจากที่มีการ “เปิดเสรี” อย่างกว้างขวางทำให้เกือบทุกอย่างเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” เหตุผลก็คือ ในปัจจุบันนั้นทางเลือกของผู้บริโภคมีหลากหลายมาก “แค่ปลายนิ้ว” พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนความต้องการสินค้าและบริการจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้และพวกเขาก็ทำ ดังนั้น ผมเองคิดว่าราคาหุ้นที่เหมาะสมก็ควรจะต้องสะท้อนกำไรปกติที่ควรจะเป็นในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การหากำไรปกติในระยะยาวของอุตสาหกรรมนี้ก็ยังทำได้ยากเพราะธุรกิจนี้ยัง “ไม่ลงตัว” นั่นก็คือยังไม่มีการปิดตัวของกิจการที่ไม่สามารถแข่งขันได้เป็นเรื่องเป็นราว
ธุรกิจเกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีนั้นเป็นธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ที่อิงกับตลาดโลกเกือบทุกด้าน การเติบโตที่จะเป็นเรื่องถาวรก็คือการเพิ่มกำลังการผลิตไม่ใช่การเติบโตของรายได้หรือกำไรที่มักจะเป็นเรื่องชั่วคราวที่ขึ้นอยู่กับราคาของผลิตภัณฑ์ในตลาดโลก การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้นั้น แน่นอน ราคาจะแพงไม่ได้ ผมเองคิดว่าการตัดสินใจลงทุนนั้นควรจะมองจากกำไรปกติในระยะยาวซึ่งควรจะหาจากยอดขายคูณด้วยมาร์จินที่เหมาะสมเช่น กำไร 3% ของยอดขาย จากนั้นเราก็ให้มูลค่าว่าราคาหุ้นไม่ควรเกิน 10 เท่าของกำไรที่คำนวณได้นั้น เป็นต้น
ทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่ตัวอย่างของบางอุตสาหกรรม นักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวควรที่จะยึดมั่นกับแนวทางวิเคราะห์แบบระยะยาวหรือความยั่งยืนถาวรของกิจการมิฉะนั้นก็อาจจะหลงผิดคิดไปว่าหุ้นที่กำลังลงทุนนั้นเป็นหุ้นที่โตจริงทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องชั่วคราว
ที่มาบทความ: thaivi.org