ช่วงนี้หุ้นตก นักลงทุนเริ่มจะตั้งคำถามว่า แบบนี้ฉันควรจะทำอย่างไร หยุดลงทุนดีไหม? หรือ จะขายไปก่อน หรือ จะซื้อลงทุนต่อไป?
สำหรับผม นักลงทุนมี 2 แนว
- แนว Passive คือ คนที่ชอบลงทุนผ่านกองทุน
- แนว Active คือ คนที่ชอบลงทุนเอง เลือกหุ้นรายตัวเอง
คำถามคือ ช่วงนี้หุ้นตก นักลงทุนแนว Passive ควรทำอย่างไร?
เราเริ่มกันที่
1. ทำไมถึงหุ้นตก ในปี 2018
มีหลายแหล่งข่าวที่ได้มีการรายงานไปแล้ว ดังนั้นผมขอสรุปว่ามาจากสาเหตุจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นส่วนใหญ่ มีดังนี้
- USA ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ผลตอบแทนในพันธบัตรสูงขึ้น
- สงครามการค้าระหว่างจีนและ USA
- กองทุนต่างชาติปรับพอร์ตการลงทุน ตามดัชนี MSCI
ส่งผลให้เงินไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) จากอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย โดยไหลออกจากประเทศไทยไปแล้วกว่า 165,000 ล้านบาท
2. พื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ในสายตา IMF
IMF ได้ออกบทความ เรื่อง Thailand’s Economic Outlook in Six Charts ผมสรุปให้ดังนี้
- การเติบโตของประเทศไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกด้านอุตสาหกรรม
- ภาคการท่องเที่ยวกับการส่งออกเป็น Key ที่สำคัญ
- หนี้ภาคครัวเรือนยังคงสูงอยู่ เป็นเหตุผลที่ทำให้ประชาชนยังไม่ใช้จ่าย
- การใช้จ่ายโครงการต่างๆ ของภาครัฐจะช่วยให้เกิดกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายได้
- ประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมแรงงานให้เข้ากับสังคมผู้สูงอายุ
- อุตสาหกรรมด้านบริการกำลังเติบโตขึ้น รัฐบาลกำลังจะปฏิวัติระบบดิจิตอลเพื่อเพิ่มผลผลิต
เช่นโครงการ EEC ซึ่งจะมีอุตสาหกรรม robotics, aerospace, and biotechnology ซึ่งจะต้องเรียนปรับหลักสูตรการเรียนรู้ เพื่อตอบสนองสิ่งเหล่านี้
สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ http://www.imf.org/en/News/Articles/2018/06/07/NA060818-Thailands-Economic-Outlook-in-Six-Charts
3. ผลตอบแทนของตลาดหุ้น ในแต่ละช่วงเหตุการณ์
ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ตลาดติดลบ นี่เป็นเรื่องปกติเหมือนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ลองมาทบทวนย้อนกลับไปว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นในอดีตเป็นอย่างไร
ถ้าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ และถ้าดียิ่งขึ้น ทุกอย่างก็จะกลับมา
4. แก้ว 3 ประการในการลงทุน
- เริ่มจากหลักการกระจายการลงทุน หรือเราเรียกว่าการทำ Asset Allocation การกระจายสินทรัพย์ในการลงทุน หรือ เราเรียกว่าการจัดพอร์ต โดยจะจัดพอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้ หรือ จัดพอร์ตตามเป้าหมายทางการเงิน
- เลือกหลักทรัพย์ในการลงทุนอย่างละเอียด เมื่อแบ่งว่าจะลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อย่างละเท่าไรแล้ว เป็นกี่ % แล้ว ลำดับต่อไปการเลือกหลักทรัพย์รายตัวที่จะลงทุน สำหรับนักลงทุนแบบ Passive ก็ต้องเลือกกองทุนที่ Outperform สามารถจะชนะตลาดได้
- การจับจังหวะการลงทุน สำหรับนักลงทุนแบบ Passive วิธีที่ดี คือ ใช้ Dollar Cost Averaging (DCA) โดยการทำจะต้องใช้วินัยในการออมเหมาะกับการลงทุนระยะยาว และที่สำคัญจะทำให้ต้นทุนของเราเกิดการเฉลี่ยของต้นทุน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่ำลงเหมาะกับการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนสูงอีกด้วย
ผลการทำ DCA ต่อเนื่อง
- ลงทุนทุกปี ปีละ 60,000 บาท โดยจะเข้าลงทุนทุกเดือนมกราคมของทุกปี
- ลงทุนใน SCBSET ที่ลงทุนใน SET Index
- ลงทุนตั้งแต่ ปี 2540 – 2560 ใช้เวลา 21 ปี
- ต้นทุนสะสม 2 ล้าน
- มูลค่า ณ สิ้นปี 2560 หรือ ปีที่ 22 จะมีประมาณ 6 ล้าน
- กำไร 270% หรือ ประมาณ IRR 10%
อย่างไรก็ตาม อยากให้เข้าใจว่า ผลงานในอดีต ไม่สามารถการันตีผลงานในอนาคตได้ และแม้หุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นเดียวกัน
5. เราควรจะทำอย่างไรดี
- ทำใจให้สบาย
- ทำงาน เก็บออม และมีวินัยลงทุนอย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม
- มองไปที่เป้าหมายในระยะยาว
- ตรวจสอบการจัดพอร์ต ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน
- ตรวจสอบกองทุนว่า ยังคงสามารถ outperform ได้อีกหรือไม่
- ความผันผวนเป็นสิ่งที่อยู่คู่นักลงทุนระยะยาว
จงลงทุนให้เบิกบานใจ
ด้วยความปรารถนาดี
สมพจน์ พัดสุวรรณ
WealthGuru