สองสัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 19 เม.ย.) นายแจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป ได้เดินทางมาประเทศไทย เพื่อลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการพัฒนาด้านการลงทุนและเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงมีการลงนามความร่วมมือด้านการลงทุนในการสร้างศูนย์ Smart Digital Hub ในพื้นที่ EEC ด้านการพัฒนาธุรกิจ SME และบุคลากรด้านดิจิทัล รวมถึงความร่วมมือด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย

ประเด็นคือ เรื่องนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนหลายอย่างในระยะยาวสำหรับเมืองไทยนะครับ

เอาแค่สั้นๆ รมว.อุตสาหกรรม นายอุตตม สาวนายน ได้ชี้แจ้งว่า โครงการลงทุนสร้างศูนย์ Smart Digital Hub จะมีมูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้แล้วเสร็จเปิดดำเนินการได้ในปีหน้า ซึ่งจะมีธุรกิจรายย่อยได้ประโยชน์ราว 30,000 รายในระยะแรก นอกจากนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับอาลีบาบา เพื่อสนับสนุนการขายผลผลิตทางการเกษตรของไทย ผ่านเว็บไซต์ Tmall.com ไปสู่ลูกค้าในจีนอีกด้วย

พลังของ Tmall.com ได้แสดงให้กับชาวไทยประจักษ์แก่สายตาทันที หลังมีการประกาศลงนาม โดย Tmall.com ได้โปรโมททุเรียนหมอนทอง ผ่าน Platform ภายในเพียงแค่ 1 นาที ก็มีชาวจีนสั่งซื้อทุเรียนไปถึง 80,000 ลูก หรือกว่า 200,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านหยวน หรือ 478 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว ผู้ประกอบการในไทย เห็นสัญญาณ 60 วินาทีที่ Tmall.com แสดงให้เห็นครั้งนี้ ก็ชัดเจนว่า มันเปิดโอกาสอะไรอีกหลายๆ อย่างให้กับผู้ประกอบการในไทยทีเดียวนะครับ

สินค้าแบรนด์ไทยอะไร ที่ชาวจีนนิยมซื้อ นอกจากทุเรียน ในเวลานี้?

ที่เห็นก็มี ยกตัวอย่างเช่น

  • นมอัดเม็ดสวนจิตรลดาที่ชาวจีนรู้กันในฐานะสินค้าพระกษัตริย์ไทย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ไม่มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว มีเท่าไหร่ก็ขายหมดยอดซื้อไม่เคยลดลงเลย
  • โฟมล้างหน้าน้ำนมวัว Beauty Buffet ซึ่งไปดังที่เมืองจีนเป็นอย่างมากในกลุ่มหนุ่มสาว
  • ยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุชาวจีน เห็นที่ไหนเรียกว่า กวาดซื้อเรียบที่นั่นเลย

สินค้าหลายอย่างในไทย ซึ่งตัวบริษัทผู้ผลิตก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่แล้ว ได้เข้าไปรุกทำตลาดในจีนมาอย่างยาวนาน ไปกรุยทางให้ผู้ประกอบการในรุ่นปัจจุบันและรุ่นหลัง ได้ใช้โอกาสตรงนี้เข้าไปเสริมทัพเพื่อขายสินค้าให้ชาวจีนมาเพิ่มเติม ดังนั้น กลุ่มธุรกิจค้าปลีก จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นทันที ที่มีความร่วมมือกันเกิดขึ้นหลังจากนี้ ในฐานะของนักลงทุนในตลาดหุ้นคนหนึ่ง ก็ขอเอาใจช่วยผู้ประกอบการไทยให้ประสบความสำเร็จในการรุกตลาดจีน ที่เปิดกว้างมากขึ้นขนาดนี้นะครับ

สำหรับสินค้าเกษตร หากพิจารณาไม่เพียงเฉพาะทุเรียน จะพบว่า เกษตรกรไทย คงต้องพัฒนาและใช้นวัตกรรมเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณภาพมากขึ้นไปอีกนะครับ เพราะอย่างกรณีขายทุเรียน 80,000 ลูกใน 1 นาที พอข่าวออกแบบนี้ปั๊บ ชาวสวนที่ปลูกผลไม้ชนิดอื่น อาจจะหันมาปลูกทุเรียนกันหมด และเร่งตัดทุเรียน ทำให้คุณภาพลดลง และไปกระทบกับชาวสวนในภาพรวม

ปัญหาแบบนี้ การสร้างแบรนด์ที่ชัดเจนให้รู้ว่าสวนของเราคุณภาพดีกว่าสวนอื่นๆ ก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้ หรือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตก็จะช่วยได้ก็เช่นกัน เช่น การนำ Internet of things (IoT) มาใช้ เพื่อควบคุมปริมาณน้ำ และรดน้ำให้ต้นไม้ในเวลาที่เหมาะสม , ติดตามสภาพหน้าดิน ความชื้น แร่ธาจุ และอุณหภูมิ ให้เหมาะสมกับพืชที่เกษตรกรปลูก

ด้านอุตสาหกรรมหนัก อย่างที่เราทราบกันว่าไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนแรงงานในระบบจะลดลง ความหมายคือ แรงงานจะมีอำนาจการต่อรองกับผู้ประกอบการมากขึ้น ค่าจ้างแรงงานก็เริ่มขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เราไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตต้นทุนต่ำมาซักระยะเวลาหนึ่งแล้วนะครับ ผู้ประกอบการก็ต้องแข่งในแง่ของคุณภาพสินค้า หรือ ราคาขายที่ถูกกว่า ซึ่งแน่นอนว่า เทคโนโลยีช่วยเราได้เช่นกัน

ด้านเทคโนโลยีที่เห็นว่าน่าจะทำให้ภาคการผลิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นจะเป็นการนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมเข้ามาทดแทนแรงงานคน เพราะหุ่นยนต์สามารถควบคุมคุณภาพของงานบางชนิดได้ดีกว่า เหมาะกับงานที่มีลักษณะทำซ้ำๆ วนไปเรื่อยๆ หรืองานที่ต้องการความแม่นยำเป็นพิเศษ

ถามว่า ถ้าไม่ปรับตัว จะเป็นอย่างไร?

ต้องอย่าลืมว่า ไม่ใช่แค่เราที่ขายสินค้าให้คนจีนเพิ่มขึ้นนะครับ แต่ผู้ประกอบการชาวจีน ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวไทยได้มากขึ้นผ่าน Platform E-Commerce ทั้งหลายที่มีมา และจะมากขึ้นในอนาคต ดังนั้น คำตอบต่อคำถามที่ว่า ถ้าไม่ปรับตัว จะเป็นอย่างไร? คำตอบคือ ถ้าคุณไม่ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองคุณภาพดีขึ้น หรือ ราคาถูกลง ในอนาคตจะมีผู้ประกอบการคนอื่นมาทำสิ่งนี้ให้กับลูกค้าของคุณแทน และเมื่อนั้น หากเราคิดจะปรับตัว ก็คงสายไปเสียแล้ว

ไม่ต้องรอให้หุ่นยนต์มาแย่งงานเราหรอกครับ สินค้าจากจีนนี่ละ ที่จะมาแย่งลูกค้าเรา แล้วอาจทำให้เราว่างงานไปก่อน … ก็เป็นไปได้ ดังนั้น ปรับตัวครับ นอกจากจะอยู่รอดแล้ว ยังมีโอกาสพุ่งทะยานด้วย ขอเอาใจช่วยผู้ประกอบการไทยทุกคน

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/644460

TSF2024