หลายคนอาจจะรู้จัก “เจนนี่ ปาหนัน” ในฐานะพิธีกรอารมณ์ดีมีอารมณ์ขัน แต่วันนี้ FINNOMENA ได้มีโอกาสสัมผัสอีกมุมหนึ่งของเจนนี่ ที่จะเผยให้เห็นถึงแผนการใช้ชีวิตและการบริหารเงินของเธอ
เจนนี่มีวิธีการเก็บเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างไร จุดหมายในอนาคตเป็นอย่างไร มีวิธีบริหารเวลาอย่างไร มาค้นพบแรงบันดาลใจดีๆ จากเธอกันเถอะ
คุยสบายๆ กับเจนนี่ ปาหนัน
แนะนำตัวหน่อย
สวัสดีค่ะ เจนนี่ ปาหนัน ค่ะ
ทำไมถึงชื่อว่าเจนนี่ ปาหนัน
พระตั้งให้ค่ะ พระบอกว่าชื่อนี้เป็นชื่อดี เหมาะกับเรา ตอนเกิดเราหน้าตาเหมือนลูกครึ่งหน่อยๆ ครึ่งคนครึ่งผี (หัวเราะ) ไม่ใช่! จริงๆ ต้องแยกคำว่าเจนนี่กับปาหนัน เจนนี่นี่มาจากคุณครูเรียก จากภาพยนตร์เรื่อง “เจนนี่ กลางวันครับ กลางคืนค่ะ” เมื่อก่อนที่พี่ลิฟท์ สุพจน์ต้องเล่นเป็นผู้ชายแต่งหญิง ท่าทางตุ้งติ้ง คนก็เลยเรียกเราว่าเจนนี่ แต่ว่าปาหนันนี่มาจากการไปเล่นเป็นหน้าม้าในรายการของ Channel V Thailand คนก็เลยเรียกติดปากเป็นเจนนี่ ปาหนัน กลายเป็นชื่อปัจจุบันไปเลย พ่อก็เรียกเจนนี่ ปาหนัน
คิดว่าตัวเองหน้าเหมือนใคร
ก่อนหน้านี้คิดว่าญาญ่า แต่พอเจอมารีญา พูลเลิศลาภ ก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนมารีญานะ ไม่ใช่เหรอ ไม่เชื่อเหรอ (หัวเราะ) หลายคนทักว่าเหมือนพี่เหมียว ปวันรัตน์ พี่เสนาหอย แล้วก็คุณเนวิน ชิดชอบ สามคนนี้ส่วนใหญ่ แต่เราคิดว่าเราก็ยังคงหน้าเหมือนญาญ่าละ (หัวเราะ)
อยากปรับเปลี่ยนตัวเองตรงไหนไหม เช่น หน้าตา
เราว่าตอนนี้เรากำลังสวยเข้าที่แล้ว ตอนเด็กๆ เราอาจจะไม่น่ารักเท่านี้ แต่เรายิ่งโตแล้วยิ่งสวย เราว่าหน้าตาเราได้แล้ว ถ้าให้เปลี่ยนขอเปลี่ยนนิสัยดีกว่า เพราะเป็นคนเ*ยประมาณหนึ่ง (หัวเราะ) เป็นคนนิสัยไม่ดีประมาณหนึ่ง อารมณ์รุนแรง ขี้หงุดหงิด แต่คิดไปคิดมาถ้าต้องเปลี่ยนนิสัยก็ควรไปบวชแล้วละ งั้นเลยไม่เปลี่ยนก็ได้ ทำงานดีกว่า (หัวเราะ)
ถ้าไม่ได้เป็นเจนนี่ ปาหนันอย่างวันนี้ อยากทำอาชีพอะไร
ตอนเด็กๆ อยากเป็นแอร์โฮสเตส แต่โตขึ้นอยากเป็นแม่คน (หัวเราะ) จริงๆ ความฝันตั้งแต่เด็กคืออยากทำงานในวงการสื่อมวลชนนี่ละ ทำรายการทีวี ซึ่งเมื่อก่อนเวลามีคนมาถามว่าอยากเป็นอะไรก็เคยบอกไปแล้วว่าอยากทำรายการทีวี แต่เมื่อก่อนเรายังไม่รู้จักคำว่าครีเอทีฟ เราไม่รู้ว่าตำแหน่งนี้เรียกว่าครีเอทีฟ ตั้งแต่เด็กแล้วที่เราอยากทำงานเบื้องหลัง
ทำไมถึงอยากทำ
ด้วยความที่สมัยเรียนเราร่วมกิจกรรมทุกอย่างของโรงเรียน มีงานของมหา’ลัยเราก็เข้าไปร่วมตลอด เราก็เลยรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมเสมอ ชอบออกไอเดียแสดงความคิดเห็น เราก็เลยอยากทำงานเบื้องหลัง คิดกิจกรรม คิดไอเดีย
ที่ทำงานหลายอย่างทุกวันนี้ ชอบงานไหนมากที่สุด
ชอบสุดคงเป็นพิธีกรนี่ละ เราไม่คิดหรอกนะว่าเราจะได้เป็นพิธีกรหรือว่าได้ทำงานเบื้องหน้าในตอนแรก แต่ว่าเราเป็นคนที่ชอบพูดอยู่แล้ว พอได้มาทำงานหลายๆ อย่างก็กลายเป็นว่างานที่เราได้พูดเยอะๆ เป็นงานที่เราชอบ ก็คืองานพิธีกรนั่นเอง ได้เงินเยอะด้วยนอกจากได้พูดเยอะ (หัวเราะ)
เมื่อกี้บอกว่าตัวเองเหมือนญาญ่า ถ้าอย่างนั้นญาญ่าอยากเล่นละครคู่พระเอกคนไหนมากที่สุด
ญาญ่าขอข้ามไปเมืองจีนได้ไหมคะ ตอนนี้ญาญ่าคลั่งพระเอกจีนมาก อู๋อี้เทียนรู้จักไหม น่ารักมากเลย
แล้วถ้าเป็นคนไทยล่ะ
อยากเล่นกับ… (คิด) อาสมบัติ ชอบอาสมบัติมาตั้งแต่เด็กๆ (หัวเราะ) อยากเล่นกับใครที่เขากล้าเล่นกับเรา กล้าจับเนื้อหนังเรา ผิวตรงหลังเราที่มันมีลาย เราเล่นได้หมดกับเขา
อยากทำอะไรอีกในวงการ
เราเป็นคนที่ชอบดูหนัง แล้วเรามีหนังในดวงใจหลายเรื่อง อยากเล่นหนังเรื่องหนึ่งที่เราได้เป็นตัวนำแล้วเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆ คน เหมือนเราชอบเพื่อนสนิท ชอบซีซั่น เชนจ์ รักแห่งสยาม เลยคิดว่าถ้าได้เล่นหนังที่เราเป็นตัวนำ แล้วเป็นหนังเรื่องโปรดของคนไทยก็คือบรรลุแล้ว
อยากเล่นหนังแนวไหน
จริงๆ เป็นคนชอบหนังแนวโรแมนติก ดราม่า เศร้า แต่เราไม่รู้ว่าเราจะเล่นได้ไหมนะ แต่ว่าเราก็อยากจะลองดู เพราะคนเห็นภาพตลกของเราเยอะมาก แต่จริงๆ แล้วอีกด้านหนึ่งของชีวิตเราเป็นคนที่ขี้เหงา เป็นคนเศร้า เป็นคนที่ต้องมีเพื่อนมีรุ่นน้องอยู่ด้วยตลอด เลยอยากให้คนเห็นพาร์ทที่เกี่ยวกับชีวิตบ้าง
ทำไมต้องขี้เหงาด้วยล่ะ
ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะเราอยู่คนเดียวมาทั้งชีวิต ไม่เคยมีแฟน เราก็เลยเหงาบ้าง
สเป็กผู้ชายที่ชอบเป็นแบบไหน
ตอนนี้ไม่มีแบบแล้ว แต่จริงๆ สเป็นเราเป็นคนชอบเด็ก ชอบคนที่น่ารักมากกว่าคนหล่อ เวลาอยู่กับใครที่น่ารักๆ เด็กๆ มันจะมีนิสัยที่น่ารัก ทำให้เรายิ้มได้ สดใสร่าเริง (หัวเราะ)
อยากออกเทปไหม
อยากนะ อยากจะมีเพลงดังๆ สักหนึ่งเพลงในชีวิต ถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำเพลงบ้าง
เวลาว่างชอบทำอะไรเพื่อผ่อนคลายตัวเอง
จริงๆ เจนนี่เป็นคนใช้ชีวิตที่เรียกได้ว่า ครึ่งหนึ่งงาน ครึ่งหนึ่งสังสรรค์ เลยละ พักผ่อนน่ะไม่ค่อยมี (หัวเราะ) นอกจากการทำงานแล้วส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตสองแบบ ถ้าไม่สังสรรค์กับคนหมู่มากก็อยู่ตัวคนเดียวเลย เมื่อไรที่เหนื่อยมาก อยากพัก เราก็กลับบ้านอยู่คนเดียวในห้องนอน พี่ที่เป็นรูมเมทก็จะรู้ว่าเราจะชอบเก็บตัวอยู่ในห้องนอน นอนอยู่บนเตียงฟังเพลง ดูหนัง ดูซีรีส์ ดูอะไรไปเรื่อย แต่ว่าถ้าบางวันถ้าอยากจะสนุกสนานคึกคักหน่อยก็…ไปเลยจ้า สองทุ่มเจอกันร้านนี้ ตีสี่ค่อยกลับจ้า
ชอบปาร์ตี้แนวไหน
ถ้าเป็นช่วงนี้ชอบแบบนั่งชิลมากกว่า ในร้านต้องมีดนตรีเล่นสดนะ เพราะว่าถ้าไปนั่งชิลสักพักเราก็จะเริ่มคึก เริ่มอยากเต้นแล้ว ก็เลยต้องเป็นร้านชิลที่มีดนตรีเล่นสดด้วย จะได้ครึกครื้น
คุยเงินๆ ทองๆ กับเจนนี่ ปาหนัน
สร้างบ้านให้พ่อแม่แล้ว ซื้อรถแล้ว เป้าหมายต่อไปคืออะไร
ซื้อบ้านให้กับตัวเอง จริงๆ ไม่ได้คิดว่าอยากจะมีบ้านในเร็วๆ นี้ แต่พอซื้อรถแล้วเราก็รู้สึกเหมือนเรามีสมบัติชิ้นแรกแล้ว เราก็อยากมีสมบัติชิ้นต่อไป ก็เลยกลายเป็นว่าอยากมีบ้านต่อในอนาคตอันใกล้ ตอนนี้ก็อยากจะหาคอนโดสักที่หนึ่งที่ไว้อยู่อาศัยแล้วก็ทำงาน
มีวิธีการเก็บเงินบริหารเงินอย่างไร
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราก็ใช้วิธีการทั่วไปที่เขาชอบแชร์กัน เช่น เก็บแบงก์ห้าสิบ เก็บเหรียญ แต่ปัจจุบันเราใช้วิธีเปิดสองบัญชี บัญชีหนึ่งเป็นเงินเข้าจากการทำงาน อีกบัญชีเป็นเงินเก็บ หรือว่าเป็นเงินที่ใช้นานๆ ครั้ง เช่นไปเที่ยวหรือซื้อนู่นนี่ บัญชีแรกที่มีเงินเข้าจากการทำงานเราก็ใช้จ่ายทั่วไปสำหรับชีวิตประจำวัน แล้วก็จะโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีเงินเก็บ
แบ่งเงินเก็บกับเงินใช้อย่างไร
จริงๆ ไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์การเก็บที่แน่นอน บางทีเขาโอนเงินมาก้อนหนึ่ง เราก็กะว่าค่าใช้จ่ายช่วงนี้มีเยอะไหม เราก็จะโอนส่วนที่เหลือไปอีกบัญชีหนึ่ง บางทีเราใช้วิธีการ 50:50 ปัจจุบันจะเกลี่ยให้สองบัญชีมีเงินเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน เวลาเราดูเราก็จะได้รู้สึกแบบ เอ้อ เงินเก็บเราไม่น้อยนะ มันยังเท่ากันอยู่ ถ้าบัญชีเงินเก็บมีน้อยกว่า ก็จะแบบ ทำไมเงินเก็บเรามีแค่นี้
ได้วางแผนลงทุนไหม
ทุกวันนี้ใช้อยู่วิธีหนึ่งคือซื้อประกันที่ส่งทุกปี พอครบระยะเวลาปุ๊บเขาก็คืนให้เราหมด เรามีความรู้สึกว่า เราไม่รู้เรื่องการลงทุนมากมาย แต่การทำประกันเป็นวิธีที่นอกจากเราจะได้ลงทุนแล้ว เรายังได้ผลประโยชน์จากมันในการคุ้มครองตัวเราเวลาเจ็บป่วยด้วย
ทุกวันนี้ใช้เงินไปกับอะไรมากที่สุด
ครอบครัวค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ น่าจะแบ่งเป็นสองนะ คือใช้กับตัวเองและใช้กับครอบครัว ตัวเองก็เป็นคนที่ต้องใช้เงินซื้อเสื้อผ้าในการทำงาน ซื้อความสุขในการสังสรรค์ แล้วก็ค่าใช้จ่ายทั่วไปที่เกี่ยวกับชีวิตตัวเอง อีกส่วนหนึ่งก็ใช้กับครอบครัว นอกจากจะให้พ่อแม่แล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดของที่บ้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าบ้าน ค่ารถ ค่านู่นค่านี่ รวมถึงน้องด้วยที่เราต้องให้ในบางครั้ง
ส่วนของตัวเองใช้อะไรมากที่สุด
น่าจะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย นอกจากค่าใช้จ่าย ค่ากิน ค่าทั่วไปแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่เราใช้เยอะคือใช้ซื้อเสื้อผ้ากับท่องเที่ยว เราเป็นคนชอบแต่งตัว ชอบซื้อเสื้อผ้า หลายๆ คนจะชอบถามว่า เอ๊ย ทำไมชุดนี้ใส่แค่ครั้งสองครั้งเอง เราเป็นคนที่ถ้าใส่เสื้อผ้าซ้ำเกินสามครั้งก็จะโดนทักแล้วว่าใส่เสื้อซ้ำ เราก็เลยต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ตลอด อีกอันหนึ่งก็คือเราเป็นคนชอบท่องเที่ยว ไปเที่ยวกลางคืน เที่ยวต่างจังหวัด ก็เลยหมดไปกับค่าเที่ยวเยอะเหมือนกัน
แต่ว่าไปทำรายการเทยเที่ยวไทยก็ได้เที่ยวมาหมดแล้วนะ
ถามว่าได้เที่ยวไหม มันก็คือการไปเที่ยวละ แต่ว่าในส่วนของเราก็คือเราไปทำงานน่ะ เราก็เลยไม่ได้ตีว่าตรงนั้นคือการไปเที่ยว สำหรับเรามันคือการไปทำงานแบบท่องเที่ยวมากกว่า ไปก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรเยอะมาก ก็มีเงินของกองให้
อยากไปเที่ยวที่ไหนอีก
อยากไปยุโรป ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ไปยุโรปคือไปทำงานหมดเลย ไปถ่ายรายการหรือไปเป็นแขกรับเชิญงาน แต่ไม่เคยไปยุโรปแบบท่องเที่ยวเลย ประเทศที่อยากไปมากที่สุดตอนนี้คือสวิตเซอร์แลนด์ เราอยากไปเมืองหนาว อยากไปเห็นบ้านเมืองที่เป็นเมืองหนาว แบบน่ารักๆ เหมือนที่เมื่อก่อนเราเห็นบ้านเล็กๆ ที่มีหิมะเกาะหลังคา เห็นยอดเขาสวยๆ
อยากรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องเงิน/เรื่องลงทุนบ้าง คิดว่าคนควรรู้อะไรมากขึ้น
จริงๆ เราก็มีความรู้อะไรเล็กๆ น้อยๆ ว่าการลงทุนมีอะไรบ้าง แต่เจนนี่มองว่าเจนนี่และหลายๆ คนไม่ค่อยรู้ว่าการลงทุนในแต่ละแบบเป็นอย่างไร วิธีไหน ลงทุนแล้วได้อะไร
การซื้อสลาก การลงทุนในกองทุนต่างๆ การซื้อหุ้น การซื้อบิตคอยน์ หลายคนก็จะรู้จักว่ามันมีการลงทุนแบบนี้ แต่ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากถ้าเราไม่ได้อยากลงทุนจริงๆ เหมือนตัวเจนนี่ก่อนหน้านี้กับเรื่องประกัน ก็ไม่รู้ว่ามันมีประกันแบบคืนเงินให้เราด้วยถ้าเราไม่เข้าไปถามเขาเอง
อยากให้ทำอย่างไรก็ได้ให้การลงทุนพวกนี้มีข้อมูลที่ค่อนข้างจะแพร่หลายออกมาหน่อย เป็นข้อมูลที่ไม่ได้ยากมาก เพราะหลายคนมองว่าการลงทุนเป็นอะไรที่ต้องมานั่งศึกษากันจริงจัง หรือว่าทำความรู้จักกันพอสมควร ถ้ามีข้อมูลที่ย่อยง่ายออกมาให้คนได้ศึกษากันแบบเร็วๆ อย่างเช่น “มารู้จักการลงทุนแบบนี้ภายในหนึ่งนาที” ก็น่าจะเป็นเรื่องดีมาก เจนนี่อยากจะให้มีเรื่องพวกนี้มากขึ้นเกี่ยวกับการลงทุน
เจนนี่มองว่าการลงทุนเป็นเรื่องง่ายหรือยาก?
จริงๆ เจนนี่มองว่าการลงทุนเป็นเรื่องยากนะ เป็นเรื่องไกลตัว เมื่อก่อนเรามีความรู้สึกว่า เราจะนึกถึงการลงทุนก็ต่อเมื่อเราทำงานไปได้แล้วสักระยะหนึ่ง โตไปได้แล้วประมาณหนึ่ง แต่จริงๆ น่ะทุกวันนี้พอโตขึ้นมาเราก็รู้ว่าการลงทุนน่ะทำได้ตั้งแต่เด็กเลย เราเห็นเด็กเล่นหุ้นกัน ซึ่งเมื่อก่อนตอนเราเป็นเด็กเราไม่รู้เลยว่าเล่นได้ เราเล่นหมากเก็บอย่างเดียว ถ้าเรารู้ว่าเล่นได้เราคงทิ้งหมากเก็บแล้วมาเล่นตรงนี้ให้ได้ตังค์ดีกว่า จริงๆ แล้วการลงทุนเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก แล้วทำได้เลย
ได้ซื้ออะไรที่ลดหย่อนภาษีบ้างไหม
ก็ซื้อที่รัฐบาลเขาบอกว่าลดหย่อนหมื่นห้าน่ะ ช้อปปิ้งช่วยชาติ
แล้วกองทุน RMF/LTF ล่ะ
รู้จักว่ามันเป็นชื่อกองทุน รู้ว่าลดหย่อนภาษีได้ แต่ไม่รู้ว่ามันคือกองทุนอะไรอย่างไร ไม่ได้เข้าไปซื้อหรือว่าศึกษา เพราะว่าพอพูดคำว่ากองทุนมาเราก็รู้สึกแบบ เฮ้ย ยากจัง ไม่สะดวก ไม่เหมือนเวลาได้ยินคำว่า 7-11 มันง่ายมาก ถ้าบอกว่ากองทุนนี้ขายในเซเว่นอย่างนี้เราจะรู้แล้วว่าเออ อันนี้ง่ายแน่ๆ แต่พอเป็นกองทุนธนาคารปุ๊บ นึกถึงธนาคารก็อ้าว ต่อบัตรคิวแล้วตอนแรก ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยากสำหรับเรา แต่เราเข้าใจละว่ามันเป็นเรื่องของเม็ดเงิน ก็เลยต้องมีขั้นตอน
แล้วถ้ามีแอปพลิเคชั่นลงทุนกองทุนรวมผ่านมือถือ สนใจไหม
สนใจนะ เพราะว่าทุกวันนี้ชีวิตเราส่วนใหญ่ใช้ผ่านโทรศัพท์มือถือ สั่งอาหารก็สั่งผ่านมือถือ ทำอะไรเกี่ยวกับเงินก็ผ่านมือถือ ช้อปปิ้งผ่านมือถือ โอนตังค์ผ่านมือถือ ถ้ามีการทำกองทุนผ่านมือถือก็จะเลิศมากจริงๆ ซื้อเลยสี่ล้าน (หัวเราะ)
มองตัวเองใน 10 ปีข้างหน้าอย่างไร
เราต้องมีทุกอย่างครบแล้ว ต้องมีชีวิตที่เราพอใจแล้ว มีทุกอย่างที่อยากมี แล้วก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เราต้องการ ไม่รู้เป็นคนขี้เกียจหรือเปล่า แต่เราไม่อยากทำงานไปตลอด ก็เลยเป็นผลพวงให้ตอนนี้เราทำงานหนักเพื่อจะได้มีชีวิตอีกสิบปีข้างหน้าที่สบาย ไม่ใช่ตายนะ (หัวเราะ) อยู่ในที่ที่เราชอบ แต่ใจจริงเลย…ถ้าเป็นรูปธรรมเราก็อยากไปมีบ้านอยู่หัวเมืองต่างจังหวัด มีร้านขายของชำ ใช้ชีวิตอยู่กับการรับเงินทอนเงิน
แสดงว่าอยากทำธุรกิจสักอย่างหนึ่งน่ะสิ
ภายในสิบปีนี้เราก็ยังคงทำงานไปเรื่อยๆ ละ แต่หลังจากสิบปีถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีธุรกิจหนึ่งที่รองรับชีวิตและค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเราได้ตอนนั้น
มองว่าทำธุรกิจต้องใช้เงินเท่าไร
จริงๆ มองว่าหลักล้านก็ได้นะ เพราะไม่ได้หวังว่าจะต้องเป็นธุรกิจใหญ่โต อย่างที่บอกว่าอยากมีแค่ร้านขายของชำ แค่ล้านหนึ่งก็น่าจะได้แล้วมั้งคะสำหรับร้านขายของชำในต่างจังหวัด ส่วนเงินก้อนต้องมีสักสิบล้านขึ้นไปแล้วตอนนั้นถึงจะมีแค่ร้านขายของชำได้ สิบปีข้างหน้าถ้าเราอยากจะพักเราต้องมีเงินที่สนับสนุนเราได้ประมาณหนึ่งเลย
ก็คือทำธุรกิจล้านหนึ่ง ใช้เลี้ยงตัวอีกสิบล้าน
น่าจะนะคะ เพราะว่าเลี้ยงตัวเราด้วย เลี้ยงตัวแฟนด้วย (หัวเราะ) ส่วนลูกเหรอ อาจจะมีลูกบุญธรรม
แล้ว 20 ปีข้างหน้าล่ะ
อยู่ในวัดหรืออยู่ในโรงพยาบาล (หัวเราะ) ล้อเล่น ก็คงใช้ชีวิตกับตัวเองกับครอบครัวไปโดยที่อาจจะทำงานอยู่บ้าน ยี่สิบปีข้างหน้าเราก็ห้าสิบแล้ว ตอนนั้นก็คงไม่ค่อยมีพื้นที่ให้คนแก่ๆ อย่างเราแล้ว คงทำงานเล็กน้อยแล้วก็พักผ่อน
คุยมุมมอง กับเจนนี่ ปาหนัน
คิดว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จหรือยัง
ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะว่าจริงๆ เราไม่คิดว่าเราจะมีวันนี้ได้ ไม่ได้คิดภาพว่าตัวเองจะได้เป็นดาราหรือเป็นที่รู้จัก อะไรที่เข้ามาในตอนนี้คือโอกาส คือโชคดีของเราทั้งหมดเลยที่เราได้รับมา เราก็เลยคิดว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว เราหวังแค่ว่าเราจะมีงานทำเบื้องหลังแค่นั้นเอง แต่ว่าทุกวันนี้มีโอกาสมาเป็นเบื้องหน้าด้วย ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างด้วย แค่นี้ก็ประสบความสำเร็จเกินกว่าที่เราหวังแล้ว
มีอะไรนอกวงการบันเทิงที่อยากจะทำไหม
ไม่มีอะไรที่อยากจะทำเป็นพิเศษ ทุกอย่างที่เข้ามาก็เกินกว่าสิ่งที่เราอยากทำแล้ว เราได้คิดนู่นคิดนี่ ได้เล่นละคร ได้ทำพิธีกรหลายรายการด้วย อันนี้คือเกินกว่าสิ่งที่เราหวังแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว เราไม่เคยตั้งว่าเราต้องได้เป็นนายกสมาคมตลกแห่งประเทศไทยนะ ต้องเป็นกะเทยเบอร์หนึ่งของประเทศ (หัวเราะ) ไม่เคยตั้งความหวังขนาดนั้น ทุกวันนี้แค่เราเป็นกะเทยคนหนึ่งที่มีคนรู้จักแค่นี้มันก็โอ้โห…
ได้ข่าวว่าดังแล้วยังกลับไปทำกิจกรรมคณะกับมหา’ลัยอยู่
เรามองว่าเราเป็นคนคนหนึ่งที่แค่มีคนรู้จักบ้าง ถ้าเรามองว่าเราเป็นดารา บางทีการนั่งวินมอเตอร์ไซค์อาจจะทำให้เรารู้สึกแปลกๆ หรือเปล่า พอเรามองว่าเราเป็นแค่คนหนึ่งที่มีคนทักแล้ว “สวัสดีค่ะ” แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนทั่วไปที่เมื่อก่อนเคยไปทำกิจกรรมคณะ ทุกวันนี้ก็ยังไปอยู่ ไปตามที่เราเคยไปเมื่อก่อน
ความสุขระหว่างก่อนดังกับตอนนี้
มันก็ต่างกัน เมื่อก่อนเราก็มีชีวิต มีความสุขเหมือนคนทั่วไป แต่ว่าทุกวันนี้พอมีคนรู้จักบ้าง มันก็มีความสุขอีกด้านหนึ่งที่ได้รู้ว่ามีคนที่รักเราอยู่กลุ่มหนึ่ง ก็เป็นความสุขเป็นพลังที่เราได้ เมื่อก่อนนี้เราอาจจะหาความสุขจากวิธีอื่น ปัจจุบันเราก็มีความสุขในอีกด้านหนึ่ง ความสุขมันแตกต่างกันไประหว่างตอนมีชื่อเสียงกับไม่มีชื่อเสียง
เล่าถึงแฟนคลับหน่อย
มีแฟนรายการที่ติดตามตลอด แล้วก็เป็นกลุ่มที่ลงรูปเรา ส่วนมีตติ้ง…เราอยากให้มีแต่ไม่อยากจัด เพราะพอเราจัดเรารู้สึกแปลกๆ เขินน่ะ (หัวเราะ) มีน้องแฟนคลับเคยพยายามบิ้วด์ให้เราจัดงานมีตติ้ง แต่เรารู้สึกแบบ…มันไม่เขินเหรอ เราเขิน มามีตติ้งกับแฟนคลับ 20 คนอย่างนี้ (ขึ้นเวลาทีเจอคนเป็นหมื่นยังทำมาแล้ว) มันต่างกัน อันนั้นมันคือการทำงาน แต่อันนี้คือจัดมีตติ้งตัวเอง ไม่รู้น่ะ รู้สึกแปลกๆ ก็เลยบอกน้องว่าไม่เอา ไม่จัดดีกว่า กลัวคนไม่มา กลัวคนมาห้าคน (หัวเราะ)
ฝากอะไรถึงน้องๆ แฟนคลับในแง่ของการใช้ชีวิต
ถ้าติดตามพี่มาประมาณหนึ่งก็จะรู้ว่าจริงๆ พี่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เก่งอะไรมาก ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในวงการนี้ พี่เป็นคนโชคดีคนหนึ่งเท่านั้นละที่ได้โอกาสเข้ามาช่วยให้มาถึงทุกวันนี้ น้องๆ หลายคนเป็นคนเก่งแต่ว่ายังไม่มีโอกาส อยากให้น้องๆ สู้ต่อไป แล้วก็หาโอกาสต่อไปเรื่อยๆ
จริงๆ ทุกวันนี้มันมีวิธีการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเราได้หลายช่องทาง อยู่ที่นิ้วมือเรา เปิดคอมฯ มาเปิดทุกอย่างมาเราก็แสดงความสามารถให้คนเห็นเยอะแยะมากมายได้ อยากจะฝากน้องว่าถ้าน้องเก่งแล้วน้องมีอะไรที่อยากแสดงก็โชว์ออกมาเลย แต่ขออย่างเดียวคือขอให้อยู่ในกรอบของความคิดสร้างสรรค์ เด็กทุกวันนี้น่ะกล้าแสดงออกอยู่แล้ว แต่ขอให้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์กัน
ปิดท้ายด้วยวิธีหาความสุขอย่างง่ายๆ สไตล์เจนนี่
ไม่รู้เราเป็นคนนิสัยไม่ดีหรือเปล่า เราชอบดูคลิป Fail หรือคลิปตลกต่างๆ หลายคนบอกว่าชอบดูคลิปเราตลกๆ ดูแล้วมีความสุข เราก็ใช้วิธีเดียวกันคือเราก็ดูคลิปตลกๆ เพื่อหาความสุขให้เราเหมือนกัน คลิปแบบเดินตกบันได เดินแบบแล้วล้มเป็นอะไรที่เราชอบดูมาก อยากจะแชร์ว่าถ้าใครมีเรื่องเครียดอยู่ก็หาคลิปตลกๆ ดูให้แฮปปี้ขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้วกันค่ะ
หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์จากเดือนกุมภาพันธ์ 2018
ขอบคุณรูปภาพจาก
Facebook: Watchara Jennie Sukchum
Instagram: jennie_panhan