1,000,000 บาท ของคุณจะงอกเงยได้มากแค่ไหน? เคยสงสัยไหมว่าหากฝากเงินไว้กับบัญชี FIN SAVE by KKP จะให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร? บทความนี้จะพาทุกคนไปไขข้อข้องใจเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์บัญชี ‘FIN SAVE by KKP’ พร้อมคำนวณดอกเบี้ยให้เห็นกันชัด ๆ ว่า หากฝากเงินไว้กับ FIN SAVE by KKP จำนวน 1,000,000 บาท เงินของคุณจะเติบโตได้เท่าไรใน 1 ปี และทำไมบัญชีเงินฝากออมทรัพย์นี้จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในยุคนี้? มาหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลย!
‘FIN SAVE by KKP’บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่จะเชื่อมต่อโลกการลงทุนในที่เดียวบนแอปพลิเคชัน Finnomena ช่วยคุณจัดการชีวิตการเงินให้ง่ายขึ้น แยกบัญชีเงินลงทุนออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำวันชัดเจน หมดปัญหาเงินปนกันจนเก็บไม่อยู่ พร้อมให้เงินงอกเงย รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี* ระหว่างพักเงินรอลงทุน สะดวก ปลอดภัย มั่นใจได้ ดูแลเงินฝากของคุณโดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร
บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คำนวณดอกเบี้ยทุกวันตั้งแต่บาทแรกในรูปแบบขั้นบันได และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง (มิถุนายน และธันวาคม) ดังนั้นหากฝากเงินไว้กับบัญชี FIN SAVE by KKP จำนวน 1,000,000 บาท ตั้งแต่ต้นปีจะได้รับดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนจำนวน 4,958.90 บาท โดยนำดอกเบี้ยที่ได้รับมาฝากต่อในครึ่งปีหลังไม่ถอนออก จะทำให้ในเดือนธันวาคมได้รับดอกเบี้ยอีกจำนวน 5,081.09 บาท รวมดอกเบี้ยที่ได้รับทั้งสิ้นตลอด 1 ปี เป็นจำนวน 10,040 บาท
หากคุณกำลังมองหาบัญชีเงินฝากที่จะทำให้ชีวิตการเงินของคุณสะดวกขึ้น จัดการทั้งเงินฝากและเงินลงทุนได้ครบจบในที่เดียว บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คือคำตอบ! ดาวน์โหลดแอปฯ Finnomena และเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP ได้เลย https://partner.finnomena.com/kkp/landing
การคำนวณดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP คิดแบบขั้นบันได (Step Up) ตามอัตราที่กำหนดในแต่ละวงเงิน ธนาคารจะคำนวณจากยอดเงินคงเหลือ ณ สิ้นวัน โดยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยขึ้นอยู่กับจำนวนเงินฝากของลูกค้า อัตราดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ FIN SAVE by KKP มีรายละเอียดดังนี้
หุ้น Tesla (TSLA) พุ่งขึ้นเกือบ 5% ในช่วงเช้าวันนี้ (15 มกราคม 2025) โดยได้รับแรงสนับสนุนจากข้อมูลการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่งเปิดเผย รวมถึงการคาดการณ์เชิงบวกจากนักวิเคราะห์ใน Wall Street
ล่าสุดนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ได้ปรับเพิ่มเป้าราคาหุ้น โดยมองว่า บริการเครือข่าย (Network Services) ของ Tesla จะเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนมูลค่าของบริษัทในปัจจุบัน
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Adam Jonas นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ได้ปรับเพิ่มเป้าราคาหุ้น TSLA จาก 400 ดอลลาร์เป็น 430 ดอลลาร์ โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ Overweight และยังคงมองว่า Tesla เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูงที่สุดในตลาด
การปรับเพิ่มเป้าราคาครั้งนี้สะท้อนถึงการขยายตัวในด้านการเก็บข้อมูล การใช้หุ่นยนต์ การจัดเก็บพลังงาน และการพัฒนาเทคโนโลยี AI ซึ่งทำให้ Tesla ยังคงเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ
Jonas ระบุว่า ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเริ่มสะท้อนถึงการขยายตัวของการทำงานร่วมกันระหว่าง Tesla และ AI รวมถึงข้อได้เปรียบของบริษัทในด้านการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยในปี 2025 เขาคาดว่า ตลาดจะให้ความสำคัญกับการผสมผสานทักษะเฉพาะตัวของ Tesla ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท แม้จะมีความท้าทายในตลาด EV
Morgan Stanley ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของบริการเครือข่าย Tesla ซึ่งรวมถึงการชาร์จไฟด้วย Supercharger และการอัพเกรดซอฟต์แวร์ โดยคาดว่าในปี 2030 บริการเครือข่ายจะมีผลกระทบกับ EBITDA ของ Tesla ประมาณ 1 ใน 3 และจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 60% ภายในปี 2040
นอกจากนี้ Jonas ยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์กรณี Bull Case ของหุ้น Tesla เป็น 800 ดอลลาร์ จากเดิมที่ 600 ดอลลาร์ โดยคาดว่า Tesla จะขายรถยนต์ได้ 7 ล้านคันภายในปี 2030 และจะมีกำไรขั้นต้นที่ 26%
ในกรณีนี้ธุรกิจรถยนต์ของ Tesla จะมีมูลค่า 130 ดอลลาร์ต่อหุ้น ขณะที่บริการเครือข่ายของ Tesla จะมีมูลค่า 263 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือคิดเป็น 33% ของเป้าราคา 800 ดอลลาร์
“แม้ว่าธุรกิจรถยนต์ยังคงมีความสำคัญ, แต่เรามองว่า AI ที่ฝังตัวในผลิตภัณฑ์จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนมูลค่าของ Tesla ไปสู่ Bull Case ที่ 800 ดอลลาร์” Jonas กล่าว
ขณะที่มูลค่าการประเมินในกรณี Bear Case ของ Morgan Stanley อยู่ที่ 200 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยสะท้อนถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการยอมรับทางภูมิศาสตร์ที่ช้าลง
กองทุนที่ลงทุนใน Tesla แนะนำโดย Finnomena Funds
Finnomena Funds แนะนำ SCBNEXT(A) กองทุนรวมหุ้นทั่วโลก ที่เน้นลงทุนหุ้นด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ผ่านกองทุน ARK Next Generation Internet ETF ซึ่งเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต เช่น 5G เทคโนโลยีเสมือนจริง และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในทุกอุปกรณ์
การคาดการณ์การคงตัวของ Core PPI แสดงให้เห็นถึงการไม่เปลี่ยนแปลงในด้านของสินค้าและบริการที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน ในฝั่งของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงก็อาจจะช่วยเรื่องของความผันผวนได้บ้าง เพราะด้วยความที่ Core PPI ไม่ได้มีการส่งผลโดยตรงต่อสินทรัพย์เสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก Core PPI อาจไม่ได้มีมากเท่าตัวชี้วัดอื่น
ในฝั่งของ Bitcoin Futures Open Interest มีการปรับฐานลงจากยอด All Time High ซึ่งสอดคล้องกับราคาและข้อมูลอื่น ๆ กล่าวคือ นักลงทุนมีการ Risk-off หรือปิดสถานะลงไปบ้าง เนื่องจากตลาดเกิดการปรับฐาน อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพใหญ่ Open Interest ของ Bitcoin ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
รายงานระบุว่า Trump เปลี่ยนท่าทีต่อ TikTok หลังพบกับ Jeff Yassมหาเศรษฐีและนักลงทุนหลักใน ByteDance ซึ่งยังมีหุ้นใน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลของ Trump เอง
– ภาระการคลังสหรัฐจะลดลงส่วนหนึ่งจากการประหยัดงบประมาณบุคลากรภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพจากการที่ทรัมป์ผนึกกำลังกับ อิลอน มัสก์ ตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาเพื่อทำการลดต้นทุนที่เป็น Red Tape ในหน่วยงานราชการสหรัฐ
โดยผมมองว่าไม่ใช่ว่ามัสก์จะไม่สามารถทำได้ ทว่าด้วย Culture ของมัสก์ที่แม้แต่ในภาคเอกชนยังถือว่าค่อนข้างแข็งกระด้างและไม่แคร์ต่อความรู้สึกของพนักงาน ทำให้มัสก์มีแนวโน้มว่าจะทะเลาะกับกลุ่ม Make America Great Again (MAGA) ของทรัมป์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ประเด็นวีซ่า HB-1 จนกระทั่งงานหลักของมัสก์ไปต่อได้ยาก อันนี้ยังไม่รวมถึงการที่จะเข้าไปขัดแย้งกับบุคลากรในหน่วยงานรัฐอีกต่างหาก
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี เน้นลงทุนในบริษัทที่จดสิทธิบัตรด้าน AI and Big Data โดยครอบคลุมธีม AI กลางน้ำและปลายน้ำ ทำให้จะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการที่โลกพัฒนาเข้าสู่ยุค Agentic AI ซึ่งสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจแทนมนุษย์ได้โดยอัตโนมัติ
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี เน้นคัดเลือกหุ้น Value Play โดยการเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาไม่แพง ขณะเดียวกันปัจจัยเชิงพื้นฐานเฉพาะตัวยังคงดี เพราะประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือว่าเติบโตในระดับ 2 หลัก
Howard Marks นักลงทุนระดับตำนานและผู้ร่วมก่อตั้ง Oaktree Capital Management ที่เคยเตือนนักลงทุนก่อนเกิดฟองสบู่ดอตคอม ล่าสุดเขาเห็นสัญญาณอันตรายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น การประเมินมูลค่าที่สูงเกินไป และกระแสการลงทุนใน AI ที่ร้อนแรงเกินจริง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่ผลตอบแทนที่ต่ำในระยะยาว หรือการปรับฐานที่รุนแรงในอนาคตอันใกล้
Howard Marks คือใคร?
Howard Marks เป็นนักลงทุนชาวอเมริกันและผู้ร่วมก่อตั้ง Oaktree Capital Management บริษัทบริหารสินทรัพย์ชั้นนำของโลก เขาเป็นที่รู้จักจาก “จดหมายถึงนักลงทุน” (Memo)ที่เขาลงบนเว็บไซต์มานานกว่า 30 ปี คล้ายกับจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Warren Buffett
Marks เกิดในปี 1946 ที่นิวยอร์ก จบปริญญาตรีจาก Wharton School และ MBA จาก University of Chicago เขาเริ่มต้นอาชีพในฐานะนักวิเคราะห์ตราสารหนี้ที่ Citicorp และต่อมาเป็นประธานฝ่ายการลงทุนในตราสารหนี้ชนิดพิเศษที่ TCW Group
Marks โดดเด่นด้วยปรัชญาการลงทุนที่เน้นการควบคุมความเสี่ยง โดยเขามองว่า “การลงทุนที่ดีไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่คือการเข้าใจและควบคุมความเสี่ยง”
จดหมายถึงนักลงทุน
The Most Important Thing: Uncommon Sense for the Thoughtful Investor | Source: Daraz.com
จดหมายถึงนักลงทุนของ Marks ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแหล่งความรู้ด้านการลงทุนที่มีคุณค่าที่สุด และได้รับการรวบรวมเป็นหนังสือชื่อ The Most Important Thing: Uncommon Sense for the Thoughtful Investor
ความสำเร็จของ Marks ไม่ได้วัดจากผลตอบแทนทางการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเป็นที่ยอมรับในวงการการเงิน อย่างเช่น Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนานที่เคยกล่าวไว้ว่า
“เมื่อผมเห็นจดหมายจาก Howard Marks นั่นคือสิ่งแรกที่ผมจะเปิดอ่าน และผมก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากมันอยู่เสมอ”
Charlie Munger คู่หูของ Buffett ก็เคยยกย่อง Howard ไว้เช่นกันว่า
“ผมพูดเสมอว่า ไม่มีครูคนไหนบอกอนาคตได้ดีไปกว่าประวัติศาสตร์ หนังสือของ Howard บอกเราถึงวิธีการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ และทำให้เรามีมุมมองดีขึ้นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร”
นอกจากนี้ Marks ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับสถาบันการเงินและรัฐบาลหลายแห่งในช่วงวิกฤตการเงิน
ปัจจุบัน Marks ยังคงแบ่งปันมุมมองและความคิดเห็นเกี่ยวกับตลาดการเงินและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน ทำให้เขายังคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลในวงการการเงินโลก
Marks เขียนจดหมาย Déjà Vu All Over Again เพื่อย้ำว่าสถานการณ์ในขณะนั้นคล้ายกับปี 1979 ที่นักลงทุนเคยเชื่อว่าตลาดหุ้นจะล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโต