แจ้งเตือน

ต้านจีน-ชิงตลาดโลก! Microsoft ทุ่ม 2.7 ล้านล้าน สร้าง AI Data Center

Finnomena Editor
Microsoft AI Data Center

Microsoft (MSFT) เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะใช้เงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2025 เพื่อก่อสร้าง Data Center ที่สามารถรองรับการทำงานของ AI

กุญแจสำคัญของความสำเร็จ AI

Brad Smith รองประธานและประธานบริษัท Microsoft ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสหรัฐฯ ในการเป็นผู้นำด้าน AI ระดับโลก โดยชี้ว่าความสำเร็จนี้มาจากการลงทุนของภาคเอกชน และนวัตกรรมจากทั้งบริษัทขนาดใหญ่ไปจนถึง Startup

“ที่ Microsoft เราเห็นสิ่งนี้อย่างชัดเจนผ่านความร่วมมือกับ OpenAI รวมถึงบริษัทที่กำลังเติบโตอย่าง Anthropic และ xAI ตลอดจนการพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของเราเอง” Smith กล่าว

AI จุดประกายการแข่งขัน

Microsoft เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการจัดซื้อหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จาก Nvidia (NVDA) เพื่อนำมาใช้ฝึกและดำเนินการโมเดล AI 

การเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ในช่วงปลายปี 2022 ได้จุดประกายการแข่งขันในอุตสาหกรรม AI โดย Microsoft ได้ลงทุนใน OpenAI กว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท) และยังให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แก่ Startup ดังกล่าว พร้อมทั้งนำโมเดล AI เข้ามาใช้ในผลิตภัณฑ์อย่าง Windows และ Teams

อัดฉีดเงินลงทุนต่อเนื่อง

ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2025 Microsoft รายงานการใช้เงินลงทุนรวม 20,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.9 แสนล้านบาท) ซึ่งในจำนวนนี้ 14,900 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.15 แสนล้านบาท) ถูกใช้ไปกับอสังหาริมทรัพย์และอุปกรณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ Amy Hood ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ยังระบุในเดือนตุลาคมว่า ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาสถัดไป

ปกป้องความเป็นผู้นำ AI ของสหรัฐฯ

Smith ยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Donald Trump เร่งส่งเสริมการศึกษาและสนับสนุนเทคโนโลยี AI ของอเมริกาในเวทีโลก เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านนี้ โดยเตือนถึงการแข่งขันจากจีนที่เริ่มสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา ด้วยการให้ชิปที่หายากในราคาพิเศษ รวมถึงการให้สัญญาในการสร้าง AI Data Center ในพื้นที่ต่าง ๆ

“จีนรู้ดีว่าหากประเทศใดเริ่มใช้แพลตฟอร์ม AI ของจีน ก็มีแนวโน้มที่จะพึ่งพาแพลตฟอร์มนั้นต่อไปในอนาคต”

Smith กล่าว พร้อมเสริมว่า “วิธีตอบสนองที่ดีที่สุดสำหรับสหรัฐฯ ไม่ใช่การวิจารณ์การแข่งขัน แต่เป็นการเร่งพัฒนาและแสดงให้เห็นว่า AI ของอเมริกามีศักยภาพที่เหนือกว่า”

กองทุนหุ้น AI แนะนำโดย Finnomena Funds

Finnomena Funds แนะนำกองทุน TISCOAI และ B-INNOTECH สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในยุค AI โดยเน้นหุ้นที่มีความมั่นคงในระยะยาวและไม่ได้เน้นการลงทุนในหุ้นที่ต้องพึ่งพา AI Adoption อย่างรวดเร็ว 

ซึ่งทั้งสองกองทุนนี้มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้น AI ครอบคลุมตั้งแต่บริษัทต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ

  • TISCOAI เป็นกองทุนหุ้น AI ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการใช้ประโยชน์จาก AI และ Big Data อย่างเต็มที่ พิจารณาจากปัจจัยสิทธิบัตร สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของบริษัทในการพัฒนา AI นอกจากนี้ TISCOAI ยังมีผลตอบแทนย้อนหลังที่ดีอีกด้วย

 

  • B-INNOTECH เป็นกองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกแบบ Active จาก Fidelity Funds ที่เน้นการเสาะหาหุ้นเติบโต (Growth) สูง ภายใต้ Valuation ที่เหมาะสม และยึดหลักการคัดเลือกหุ้นด้วยการประเมินมูลค่าที่เข้มงวด (Valuation Discipline) เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้เติบโตอย่างมั่นคง เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว

อ้างอิง: CNBC

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Finnomena Funds เปิดมุมมองการลงทุนปี 2025 มองตลาดหุ้นอินเดีย เวียดนาม ยังน่าสนใจลงทุน

Finnomena Funds

Finnomena Funds เปิดมุมมองการลงทุนปี 2025 ภายใต้นโยบาย ทรัมป์ 2.0 มองตลาดหุ้นอินเดีย เวียดนาม ยังน่าสนใจลงทุน ส่วนตลาดหุ้นไทย ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายจากภาครัฐฟื้นตัว

นายวศิน ปริธัญ Managing Director บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด ในเครือ Finnomena Group บอกว่า มุมมองการลงทุนปี 2025 ภายใต้นโยบาย ทรัมป์ 2.0 แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ​ จะยังขยายตัวต่อเนื่องในระดับปกติ ห่างไกลจากสภาวะถดถอย อัตราเงินเฟ้อยังเป็นขาลง ค่าเงินดอลลาร์ มีโอกาสกลับมาอ่อนค่า ตลาดหุ้นลดความกระจุกตัวลง แต่จากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก ทำให้มูลค่าเริ่มตึงตัว การลงทุนควรเลือกเป็นรายตัว

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจาก นโยบาย ทรัมป์ 2.0 ประกอบด้วย การตั้งกําแพงภาษีทําให้ยุโรปและจีน เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ราคานํ้ามันปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความไม่สงบ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงจนธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ การตอบโต้ด้านการค้าจากประเทศอื่น ๆ ทําให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคน้อยลง ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง จากความเสี่ยงการกระจุกตัวของการปรับขึ้นจากหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากจนเกินไป ดังนั้นการลงทุนในสหรัฐฯ มีมุมมอง Neutral เศรษฐกิจมหภาคไปต่อได้ แต่ Valuation ตึงตัวมาก การลงทุนควร Selective ทยอยสะสมกองทุน AFMOAT-HA , ASP-USSMALL-A

สำหรับมุมมองต่อตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) เช่น กลุ่มยุโรป เศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 เช่น การตั้งกําแพงภาษี และปัญหาสงคราม ส่งผลธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประสบความท้าทายเรื่องการลดดอกเบี้ยต่อ หรือคงดอกเบี้ย มุมมองการลงทุน Slightly Negative แนะนำทยอยลดสัดส่วน

ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น คาดว่า เศรษฐกิจจะยังเติบโตได้แต่เปราะบางจากอัตราเงินเฟ้อที่สูง ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีท่าทีเข้มงวด (Hawk) มากขึ้น สวนทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ค่าเงินเยนมีโอกาสแข็งค่าขึ้น จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลเสียกับตลาดหุ้น มุมมองการลงทุน Slightly Negative แนะนำทยอยลดสัดส่วน

ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ตลาดหุ้นจีน ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมหลังทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการประชุมเฟด ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมฟื้นตัว แต่ต้องใช้เวลานานกว่าความเชื่อมั่นจะกลับมา ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตชะลอลง ความไม่แน่นอนด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น การเติบโตของกําไรตลาดหุ้นจะเป็น K-shape โดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ในประเทศจะโตตํ่า ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีจะเติบโตโดดเด่นกว่าจากการลดต้นทุนของบริษัท มุมมองการลงทุน Slightly Negative แนะนำทยอยลดสัดส่วน

ตลาดหุ้นอินเดีย ระยะยาวแนวโน้มเศรษฐกิจยังเติบโตระดับสูง จากโครงสร้างประชากร และชนชั้นกลางที่ยังเติบโตสูง รวมถึงยังได้ประโยชน์จาก China+1 strategy ขณะที่ระยะสั้นได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายภาครัฐและการบริโภคในเมือง (Urban) ที่อ่อนแอ การเติบโตของกําไรชะลอตัวลงในปี 2025 จากกลุ่มการเงินที่มีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แม้ Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียยังอยู่ในโซนแพง มุมมองการลงทุนยังมีความ Slightly Positive แนะนำทยอยสะสมกองทุน B-BHARATA , TISCOINA-A

ตลาดหุ้นเวียดนาม การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงและโดดเด่นกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ภาครัฐบาลมีท่าทีสนับสนุนภาคเอกชนเต็มที่ ค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าช่วยหนุนให้ ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) สามารถดําเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายได้มากขึ้น แม้ยังมีความไม่แน่นอนจากการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ กดดัน Sentiment ตลาดหุ้น และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสูง แต่การ Upgrade เข้าสู่ดัชนี EM Market ของ FTSE มีความคืบหน้า และรัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ทันในเดือนกันยายน ปี 2025 Valuation ของตลาดหุ้นถูกมาก มุมมองการลงทุน Slightly Positive แนะนำทยอยสะสม PRINCIPAL VNEQ-A

ตลาดหุ้นไทย รัฐบาลเตรียมแผนออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น โครงการของขวัญปีใหม่ 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้แก่บุคคลธรรมดาและ SMEs การเบิกจ่ายภาครัฐฟื้นตัว รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคน และตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 3.4 ล้านล้านบาท การได้ประโยชน์จาก China+1 strategy แม้ตลาดหุ้นถูกกดดันจากแรงเทขาย LTF ที่ครบกําหนด แต่จาก Valuation ยังถูกที่ระดับ -1 S.D. ส่งผลมุมมองการลงทุนอยู่ในระดับ Neutral

นายวศิน บอกด้วยว่า สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดจะอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับช่วง Trump 1.0 ระยะยาวมีสัดส่วนเป็นสกุลเงินสํารองหลักน้อยลง มุมมองการลงทุน Slightly Negative, ทองคํา ธนาคารกลางยังซื้อต่อเนื่อง แรงซื้อ Gold ETF ตาม Real Yield อาจทรงตัว ได้อานิสงส์จากดอลลาร์อ่อนค่า และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แม้อาจมีแรงขายทํากําไรช่วงจุด all time high มุมมองการลงทุน Slightly Positive ทองคํา แบบ Hedge (ทอง USD) แนะนำทยอยสะสม SCBGOLDH

ส่วนราคานํ้ามัน กลุ่ม OPEC มีอิทธิพลในการควบคุมราคานํ้ามันลดลงหลังสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ EIA คาด Supply เร่งตัวแรงกว่า Demand ในปี 2025 IEA คาดระยะยาวนํ้ามันมีความต้องการน้อยลง มุมมองการลงทุน Underweight แนะนำทยอยลดสัดส่วน

ขณะที่สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Cryptocurrency ยังได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนของ ประธานาธิบดีทรัมป์ Fund flow ของ Bitcoin และ Ethereum Spot ETF เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญในช่วงปลายปี 2024 กองทุนแนะนํา KT-BLOCKCHAIN-A , ASP-DIGIBLOC

ด้านนายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Finnomena Group บอกว่า สำหรับภาพรวมการแนะนำการลงทุนของ Finnomena Funds ในปี 2024 มีคำแนะการการลงทุนทั้งหมด 59 ครั้ง คำแนะนำการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนสูงสุด ประกอบด้วย

1. MEVT Call : PRINCIPAL VNEQ-A NAV (%Change) +20.2%

2. MEVT Call : B-INNOTECH NAV (%Change) +10.1%

3. FundTalk Call : B-INNOTECH NAV (%Change) +10.0%

4. Mr. Messenger Call : B-BHARATA NAV (%Change) +8.6%

5. Mr. Messenger Call : TISCOINA-A NAV (%Change) +7.6%

(ข้อมูล ณ วันที่ 18-20 ธันวาคม 2024)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 . ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort

ตลาดหุ้นปี 2025 New Normal

Dr.Niwes Hemvachiravarakorn
ตลาดหุ้นปี 2025 New Normal
ปี 2025 และอาจจะปีต่อ ๆ ไปอีกหลายปี ตลาดหุ้นไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่นักลงทุนคุ้นเคยมานาน อาจจะเป็นสิบ ๆ ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น จะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่จะอยู่อย่างเดิมต่อไปอีกหลายปี กลายเป็นเรื่องปกติ หรือที่เราเรียกว่าเป็น “New Normal”

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นนั้นจะมาจาก “การเปลี่ยนแปลงหลัก” ของเศรษฐกิจไทย จากเศรษฐกิจโตเร็ว เป็นเศรษฐกิจโตช้า ซึ่งเป็นผลจากสังคมไทยที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว คนเกิดใหม่น้อย ในขณะที่คนตายมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับคนสูงอายุที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนอายุน้อยมาก เพราะภายในอีกไม่กี่ปี แต่ละปีจะมีคนสูงอายุที่จะ “เกษียณ” ปีละเป็นล้านคน ในขณะที่เด็กที่เติบโตถึงวัยทำงานใหม่มีแค่ 6-700,000 คนเป็นต้น จำนวนคนทำงานที่ลดลงในแต่ละปีนั้น จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ยากมาก ถ้าไม่ติดลบก็อาจจะดีมากแล้ว ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะเติบโตไปได้อย่างไร? และถ้าเศรษฐกิจเหงาลงเรื่อย ๆ ตลาดหุ้นจะโตไปได้อย่างไร?

New Normal แรกที่เกิดขึ้นชัดมากโดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2024 ก็คือ ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ลดลงหนักมากและอยู่ในระดับ 30,000 ล้านบาทบวกลบ จริงอยู่ ในวันที่ตลาดหุ้นบวก “แรง” ปริมาณซื้อ-ขายก็ดีขึ้นบ้างจากแรงเก็งกำไร แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เกิน 4-50,000 ล้านบาท แต่ในวันที่ตลาดหุ้น “ตกหนัก” ปริมาณการซื้อ-ขายก็มักจะ “ต่ำปกติ” ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมี “แรงช้อนซื้อ” จาก “นักเก็งกำไร” ที่คาดว่าหุ้นตกหนักเดี๋ยวก็จะปรับตัวขึ้นอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในสมัยก่อน

New Normal ต่อมาที่ผมคิดว่าอาจจะเกิดขึ้นมาหลาย ๆ ปีแล้วก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะกำลังอยู่ในช่วง “ตกต่ำระยะยาว” นั่นก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นในปีต่อ ๆ ไปมีแนวโน้มจะลดลงมากกว่าที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งนี่ก็เริ่มแสดงให้เห็นแล้วล่าสุดในปี 2024 ที่ดัชนีหุ้น “ติดลบ” ต่อจากปี 2023 ที่ดัชนีก็ติดลบถึง 15% และในปี 2022 ดัชนีก็บวกแค่ 0.7% จากปี 2021

ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในอดีตตั้งแต่ปี 2542 หลังวิกฤติต้มยำกุ้งเป็นเวลา 26 ปีมาแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไม่เคยติดลบติดต่อกัน 2 ปีเลย หรือพูดง่าย ๆ ถ้าปีไหนดัชนีติดลบ ปีต่อไปตลาดหุ้นก็มักจะดีขึ้น เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยนั้นมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปีในอัตราสูงซึ่งทำให้หุ้นซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจในระยะยาวดีขึ้นตาม

ดังนั้น ในระยะเวลา 2-3 ปี ก็เป็นเรื่องยากที่ดัชนีตลาดหุ้นจะแย่ติดต่อกัน 2-3 ปี และว่าที่จริง ผมเองก็ใช้ข้อมูลนี้เป็นส่วนประกอบเวลาที่ต้องทำนายว่า “ปีหน้าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง?” และโดยทั่วไป “ถ้าปีนี้แย่มาก ปีหน้าก็จะต้องดี” แต่ถึงวันนี้ผมต้องเลิกใช้แนวคิดนี้แล้ว

แน่นอนว่าดัชนีตลาดหุ้นไม่มีทางที่จะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปีแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำลงต่อเนื่องยาวนาน ดัชนีอาจจะปรับตัวลง 2-3 ปีหรือ 3-4 ปีแล้วก็ปรับตัวขึ้น บางทีก็แรงมากระดับ 40-50% ก็เป็นไปได้ถ้าดัชนีตกลงไปมาก แต่การปรับตัวขึ้นก็จะอยู่ไม่ทนและมักจะอยู่แค่ปีหรือสองปี และก็จะปรับตัวลงมาใหม่จนอยู่ต่ำกว่าเดิมก่อนจะขึ้น กระบวนการนี้อาจจะเกิดขึ้นยาวนาน บางทีเป็น 10 ปีจนกลายเป็น “ทศวรรษที่หายไป” หรือ “Loss Decade”

ว่าที่จริงตลาดหุ้นไทยนั้น ถึงวันนี้เราก็พบปรากฎการณ์ “ทศวรรษที่หายไป” แล้ว 1 ทศวรรษ แต่นั่นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรากำลังเจอในวันนี้แม้ว่าจะมีบางอย่างร่วมกันอยู่บ้าง แต่สถานการณ์ต่อจากนี้ในปี 2025 ดูเหมือนว่าจะ “หนักกว่า” และแก้ไขได้ยากกว่า และเราก็ต้องตระหนักว่า มีโอกาสที่จะเกิด Loss Decade ซ้ำถ้าประเทศไม่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรที่สำคัญในหลาย ๆ ด้าน

New Normal เรื่องต่อมาก็คือ การหันไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นแนว VI หรือคนที่ลงทุนในหุ้นพื้นฐานมากขึ้น ที่จริงนักลงทุนไทยก็เริ่มไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาหลายปีแล้ว แต่ตัวเลขการลงทุนโดยรวมของแต่ละคนก็ยังน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาก เหตุผลคงเป็นเพราะความคุ้นเคยและการรู้จักหุ้นไทยดีกว่าหุ้นต่างประเทศทำให้หลายคนก็ยังรีรอที่จะไปลงทุนในต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ปี 2025 ผมคิดว่านักลงทุนจำนวนไม่น้อยน่าจะ “ถอดใจ” กับตลาดหุ้นไทย กลยุทธหรือหลักการลงทุนหลาย ๆ อย่างที่เคยได้ผลดี ให้ผลตอบแทนดีมาก ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล รวมถึงเรื่องของการ “เก็งกำไร” ซึ่งเป็น “ปัจจัยหลัก” ที่ยึดโยงให้นักลงทุนเกาะติดกับตลาดหุ้นทุกวัน ตอนนี้หลายคนก็ไม่อยากจะเล่นกันแล้ว เพราะ “เล่นไปมีแต่เจ๊ง” ปริมาณการซื้อ-ขายก็ซบเซา พลาดไปก็ติดหุ้น

พวกที่เน้นการลงทุนแบบพื้นฐานและแนว VI เองก็ “ถอดใจ” เหมือนกัน การเติบโตของธุรกิจลดลงมาก หรือไม่ได้โตจริง ประกาศงบออกมาราคาก็มักจะไม่ไปไหน หรือวิ่งไม่ทันไรก็ถูกเทขายตกลงมาโดยนักลงทุนสถาบันและต่างชาติ ที่เน้นแต่จะขายและก็ขายต่อเนื่องไม่มีวันหมด ดังนั้น ไปลงทุนต่างประเทศดีกว่า และเดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเพิ่มขึ้นมากที่ทำให้ไม่ต้องภาษีกำไรจากการลงทุน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผลงานการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 2-3 ปีมานี้ดีกว่าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างเห็นได้ชัด

New Normal ของนักลงทุน “รุ่นใหม่” ที่เห็นมาน่าจะเป็น 2-3 ปีขึ้นไปแล้วก็คือ คนสนใจเรื่องของการลงทุนระยะยาวน้อยลงไปมาก จิตวิทยาการลงทุนของพวกเขาก็คือ การซื้อ-ขายหลักทรัพย์หรือตราสารระยะสั้นหรือการ “เทรด” เพื่อสร้างกำไรจำนวนมากและรวดเร็ว คนพูดกันเป็น “เด้ง ๆ” เวลาเทรด ไม่มีใครสนใจซื้อหลักทรัพย์แล้วรอเป็นปี ๆ เพื่อที่จะได้ผลตอบแทน 10 หรือ 20% ต่อปีกันแล้ว

หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนตอนนี้ 70-80% เป็นเรื่อง “เทคนิคในการเทรด” และการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายในเวลาอันสั้น งานสัมมนาต่าง ๆ ที่จะดึงคนเข้าร่วมต่างก็มีรายการการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ระยะสั้นและตราสารเช่นพวกเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ เป็นรายการหลักและมากกว่าเรื่องของพื้นฐานหุ้นระยะยาวที่กำลังกลายเป็นตัวประกอบ และถ้ามีก็จะเป็นเรื่องของการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก “ลงทุนแบบ VI” เป็นรายการที่ “ตายไปแล้ว”

New Normal อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การ Corner หุ้นที่เคยเฟื่องฟูมากในช่วงหลายปีก่อนที่มีการคอร์เนอร์หุ้นจำนวนมากและมีหุ้นให้เล่นกันแทบทุกวัน ปี 2024 นั้นเป็นเวลาที่หุ้นโดยเฉพาะขนาดเล็กและกลางเกิดอาการ “คอร์เนอร์แตก” กระจาย ราคาหุ้นตกลงมาแรงมาก แต่หุ้นตัวใหญ่ไม่กี่ตัวกลับถูกคอร์เนอร์หนักขึ้นเนื่องจากยังมีสตอรี่และผลประกอบการที่รองรับอยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงปลายปี 2024 “รอยปริ” ก็เกิดขึ้น ผลประกอบการที่ดีก็อาจจะถดถอยลงในปี 2025 ตามสภาวะของอุตสาหกรรมที่น่าจะชะลอตัวลง ในขณะที่ภาพรวมของตลาดหุ้นเองก็ไม่เอื้ออำนวยให้นักเล่นหุ้นมั่นใจในการเก็งกำไร ดังนั้น คอร์เนอร์หุ้นตัวใหญ่ก็อาจจะแตกได้ และนั่นก็จะทำให้ตั้งแต่ปี 2025 การคอร์เนอร์หุ้นอย่างกว้างขวางในตลาดหุ้นไทยกลายเป็นอดีตประเภท “ครั้งหนึ่งในชีวิต” การคอร์เนอร์หุ้นในอนาคตถ้าจะมีก็จะเป็นเรื่องของข้อยกเว้นที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นที

สุดท้ายของ New Normal ก็คือ เมื่อตลาดหุ้นหงอยเหงาจนถึงขีดสุด หุ้น IPO ก็จะหาคนสนใจซื้อยากและการทำ IPO ก็จะน้อยลงมาก เพราะราคาที่ขายหุ้นจะต่ำลง หุ้นของกิจการที่ดีจริง ๆ ก็ไม่อยากจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนหุ้นของกิจการที่ไม่ดี คนก็ไม่อยากจะจองซื้อ ดังนั้น IPO ก็อาจจะน้อยและเหงาลง อาจจะหลายปีถ้าสถานการณ์ทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ยังไม่เปลี่ยน

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการคาดหมายและคาดเดาจากประสบการณ์และจากการศึกษาเรื่องของตลาดหุ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ ประเด็นต่าง ๆ ที่กล่าวถึงนั้น จริง ๆ แล้วอยู่ในใจของผมมาหลายปีและก็ได้กล่าวถึงมาเป็นระยะ ๆ จนถึงสิ้นปี 2024 ผมก็รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ นั้น ไม่น่าจะเป็น “เรื่องชั่วคราว” อีกต่อไป

และผมเองก็แทบไม่หวังแล้วว่ามันจะเปลี่ยนกลับมาเหมือนตลาดหุ้นเดิมที่ผมเคยเห็นในช่วง 10-20 ปีก่อน หน้าที่ผมตอนนี้ก็คือต้องปรับตัวเองให้รับกับ New Normal ใหม่นี้ให้ได้ดีที่สุด

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทเรียนน่าคิด… ผ่านคู่จิ้นหุ้นดังสหรัฐ

MacroView
บทเรียนน่าคิด... ผ่านคู่จิ้นหุ้นดังสหรัฐ

ได้มีโอกาสอ่านบทความจากผู้เขียนของ Dow Jones News Service ว่าด้วยการเปรียบเทียบหุ้นรายตัวที่เป็นคู่ซึ่งมีสไตล์ดูเหมือนที่แตกต่าง โดยทำในลักษณะที่คล้ายกับเบนจามิน เกรแฮม เขียนไว้ในหนังสือเล่มดัง ‘The Intelligent Investor’ พร้อมเรียนรู้ข้อคิดที่น่าสนใจสะท้อนแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจากข้อสรุปของการเปรียบเทียบ ดังนี้

คู่ที่แรก: AMC Entertainment Holdings Inc. (ธุรกิจโรงภาพยนตร์) vs. AMETEK, Inc. (อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์)

ระหว่างปี 2021-22 หุ้น AMC ซึ่งจัดเป็นหุ้น Meme หรือหุ้นที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษจากนักลงทุนรายย่อยในกลุ่มแชท ประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์เกือบทั่วสหรัฐมีอัตราการเติบโตรายได้ที่ลดฮวบลงอย่างน่าใจหาย มีมูลค่าหนี้ในระดับที่ถือว่าส่งสัญญาณอันตราย ทว่ามีบรรดานักเก็งกำไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งรายย่อยที่รับรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลในห้องแชททางสังคมออนไลน์ (เรียกกันว่า apes) คอยผลักให้ราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ สวนทางกับพื้นฐานของธุรกิจในความเป็นจริง ด้วยเหตุผลทั้งจากการที่เป็นแฟนโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งตัวผมเองก็เป็นแฟนคลับของ AMC สมัยวัยรุ่น และช่วยให้หุ้น AMC ไม่เป็นเป้าของเฮดจ์ฟันด์บางแห่งที่จ้องจะทำกำไรจากธุรกรรม Short โดยราคาหุ้นที่สูงขึ้น จะทำให้เฮดจ์ฟันด์เหล่านี้ขาดทุนจากการ Short ดังกล่าว

โดยบรรดา apes ได้ประกาศว่าตนเองเป็น HODL หรือ hold on for the dear life และเป็น MOASS หรือ mother of all short squeezes เพื่อให้บรรดานักลงทุนที่ Short หุ้น AMC ถูกบังคับให้ยกเลิกธุรกรรม short ของตนเองจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น โดยตั้งเป้าราคาหุ้นให้สูงขึ้นสู่ $100,000 หรือสูงกว่านั้น โดยหวังให้บรรดา apes ร่ำรวยไปตามกันในที่สุด

ทั้งนี้ ในเกือบ 5 เดือนแรกของปี 2021 บรรดา apes ได้ทำให้ราคาหุ้น AMC สูงขึ้นถึง 3,050%

หันมาพิจารณาหุ้น AMETEK (AME) ซึ่งผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ ป้อนให้กับลูกค้าที่เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมการบิน, อาวุธทางทหาร และการแพทย์ ซึ่งไม่มีเหล่า apes มาคอยหนุนราคาหุ้นให้สูงขึ้น โดยในเกือบ 5 เดือนแรกของปี 2021 ราคาหุ้น AME สูงขึ้น 14%

ในส่วนผลประกอบการปี 2021 AMC ถือว่าใกล้จุดที่ถือว่าย่ำแย่สุด ๆ จนน่าจะไปต่อยาก ส่วน AME ถือว่าธุรกิจมีกำไรที่ไม่ขี้เหร่

นับตั้งแต่ปี 2017 ยอดขายของ AMC ลดลงราวครึ่งหนึ่ง และมีกำไรอยู่น้อยมาก แถมยอดหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และเงินสดเหลืออยู่น้อย

ด้าน AME ยอดขายและกำไรเติบโตได้แบบค่อนข้างเสถียร หนี้สินอยู่ในระดับไม่สูง แถมมีเงินสดอยู่ค่อนข้างมาก

มาดูกันต่อในช่วงโควิดเริ่มจางลง ปรากฎว่า ในปี 2022 ราคาหุ้น AMC ร่วงลง 76% และลดลงอีก 83% ในปี 2023 บรรดา apes ที่ขายหุ้นไม่ทัน ต่างก็เจ็บตัวกันไปทั่วหน้า ในขณะที่ราคาหุ้น AME ยังไปต่อได้เรื่อย ๆ

ข้อคิดในการเปรียบเทียบนี้: ในระยะสั้น ปัจจัยพื้นฐานในหลาย ๆ ครั้งไม่ได้ช่วยดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นแบบที่ควรจะเป็น ทว่าในระยะยาว ราคาหุ้นจะสะท้อนผ่านปัจจัยพื้นฐาน

คู่ที่สอง: Arcimoto Inc. (รถยนต์ไฟฟ้า) vs. Arconic Corp. (อลูมิเนียม)

ในปี 2020 หุ้น Arcimoto ซึ่งทำธุรกิจเป็นผู้ผลิตขนาดเล็กรถมอเตอร์ไซด์ 3 ล้อที่เรียกว่า Fun Utility Vehicle (FUV) มีราคาสูงขึ้นกว่า 720% ส่วนหลักจากการที่ CEO ในขณะนั้น ปรากฎตัวให้สัมภาษณ์ในสารพัดสื่อ ไม่ว่าจะเป็น Podcast และวิดิโอออนไลน์ เชียร์ว่า FUV จะสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างมากมายในอนาคต พร้อมเชียร์ให้นักเทรดรีบเก็บหุ้นนี้เอาไว้ โดยครั้งหนึ่งนักเทรดบางกลุ่มเคยขนานนามหุ้น Arcimoto ว่าเป็น the next Tesla จนราคาหุ้นพุ่งขึ้นแบบสุด ๆ

อย่างไรก็ดี ผลปรากฎว่า ในปี 2020 บริษัทสามารถผลิตรถดังกล่าวได้เพียง 97 คันเพื่อสามารถส่งมอบให้กับลูกค้า โดยธุรกิจมีรายได้ $2 ล้าน และขาดทุนสุทธิ $18 ล้าน

อย่างไรก็ดี Arcimoto เคลมว่ามี Pre-Order อยู่เยอะ กระนั้นก็ดี ก็ยังสามารถส่งมอบให้ลูกค้าเพียง 192 และ 228 คันในปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ อยู่ดี

ทั้งนี้ บริษัทขาดทุน $144 ล้านระหว่างปี 2021-2023 ด้านราคาหุ้นลดลง 41% และ 98% ในปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ แถมยังลดลงอีก 74% ในปี 2023

ด้านหุ้น Arconic มีราคาที่ผันผวนเหมือนกัน ทว่าด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 บริษัทแม่ได้ประกาศแยก Arconic Corp. ซึ่งผลิตสินค้าด้านอลูมิเนียม ออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งอีกหนึ่งปีต่อมา โลกได้เข้าสู่ภาวะล็อกดาวน์จากโรคระบาดโควิด โดย Arconic เริ่มเทรดในตลาดหุ้นสหรัฐวันที่ 1 เมษายน 2020

ด้วยเหตุที่การผลิตหยุดชะงักและห่วงโซ่อุปทานโลกถูกกระทบจากโควิด ส่งผลให้อุปสงค์ต่อสินค้าบริษัทลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทลดลง 38% จากปีก่อนหน้าในไตรมาสแรกของปี 2020 กำไรสุทธิลดลงจาก $5 ล้าน เป็นขาดทุน $92 ล้าน

ราคาหุ้น Arconic ลดลง 54% ในวันแรกของการเทรด และลงอีก 11% ในวันถัดมา

จะเห็นได้ว่าในขณะที่คนซื้อหุ้น Arcimoto เพื่อหวังถึงการขยายศักยภาพของ FUV ให้รุ่งโรจน์ ซึ่งถือว่าหวังไปไกลเกินกว่าความจริง ด้านผู้ที่ซื้อหุ้น Arconic ก็ขยายผลเชิงลบไปกว่าความเป็นจริงในเวลาต่อมาเช่นกัน

หลังจากนั้น Arconic ได้ปรับทำการปรับโครงสร้างหนี้ เพิ่มปริมาณเงินสด และลดค่าใช้จ่ายมูลค่าหลักร้อยล้านดอลลาร์ เมื่อการล็อกดาวน์ได้รับการยกเลิกและอุปสงค์ของสินค้าด้านอลูมิเนียมกลับมาเริ่มดีขึ้น ยอดขายของ Arconic ก็กลับมาดีขึ้น และกำไรก็สูงขึ้น ในเดือนมิถุนายน 2021 ราคาหุ้น Arconic ขึ้นมาสู่ $38 เพิ่มขึ้นกว่า 500% จากจุดต่ำสุดเมื่อปีก่อน

ในเดือนสิงหาคม 2023 Arconic ถูกควบรวมกิจการด้วยราคา $30 ต่อหุ้น โดย Apollo Global Management

ข้อคิดในการเปรียบเทียบนี้: ในระยะยาว ผลตอบแทนที่สูงไม่ได้มาจากการคาดหวังที่สูงส่ง หลาย ๆ โอกาสมาจากการกลับทิศของความคาดหวังที่เคยดูมืดมนเกินจริงในช่วงก่อนหน้า

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com

ดาวน์โหลดฟรี! Weekly Market Insight ฉบับล่าสุด

Finnomena Funds

Weekly Market Insight

Weekly Market Insight

ประจำสัปดาห์ 6 – 10 มกราคม 2025

พิเศษ! สำหรับสมาชิก Finnomena

This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้

Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ

Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน

ดาวน์โหลดฟรี “มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์”

กดที่นี่เพื่อดาวน์โหลดได้เลย

ปี 2024 IPO อินเดีย สร้าง 7 มหาเศรษฐีใหม่

Finnomena Editor
อินเดีย 7 มหาเศรษฐีใหม่

ปีที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่โดดเด่นของการเสนอขายหุ้น IPO ในอินเดีย โดยมีผู้ประกอบการถึง 7 รายก้าวขึ้นสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ (Billionaire) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เริ่มต้นในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

หนึ่งในนั้นคือ Chiranjeev Singh Saluja ผู้ก่อตั้ง Premier Energies บริษัทผลิตเซลล์และโมดูลพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอินเดีย รองจาก Adani Group

“คุณพ่อของผมเริ่มต้นธุรกิจด้วยการจัดหาปั๊มน้ำมือหมุนให้หมู่บ้านในชนบทที่แทบไม่มีไฟฟ้าใช้ และก่อตั้ง Premier Solar ในปี 1995” 

Saluja เล่าถึงจุดเริ่มต้นของบริษัท ปัจจุบัน Premier Energies มีมูลค่าตลาดราว 7,000 ล้านดอลลาร์ หลังหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่านับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดเมื่อเดือนกันยายน 2024

นอกจาก Saluja แล้วยังมีผู้ประกอบการด้านพลังงานหมุนเวียนอีก 3 รายที่ประสบความสำเร็จจากการ IPO ได้แก่

  • Hitech C Doshi จาก Waaree Group ผู้ผลิตโมดูลพลังงานแสงอาทิตย์
  • Bhavish Aggarwal จาก Ola Electric Mobility Ltd ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
  • Manoj K Upadhyaya จาก Acme Solar Holdings Ltd ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

พลังงานแสงอาทิตย์ โอกาสที่มาพร้อมความท้าทาย

รายงานจาก Frost & Sullivan ระบุว่า อินเดียตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์อีก 100 GW ภายใน 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมนี้ 

อย่างไรก็ตาม Saluja เตือนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วอาจนำไปสู่การรวมตัวของอุตสาหกรรม (Consolidation) ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่บริษัทหลายแห่งในอุตสาหกรรมเดียวกันรวมตัวกันหรือควบรวมกิจการ เพื่อสร้างองค์กรที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น หรือมีความได้เปรียบทางการแข่งขันมากขึ้น

“ในอีก 18-24 เดือน จะมีการขยายกำลังการผลิตเซลล์และโมดูลพลังงานแสงอาทิตย์ครั้งใหญ่ ผู้ที่สามารถปรับตัวและขยายธุรกิจได้เท่านั้นที่จะอยู่รอด” Saluja กล่าว

แนวโน้ม IPO ตลาดอินเดีย ปี 2025

ปี 2024 เป็นปีที่ตลาด IPO อินเดียเติบโตอย่างมาก โดยมีการระดมทุนรวม 1.66 ล้านล้านรูปี (19,820 ล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปีก่อนหน้า พร้อมกับจำนวนผู้ลงทุนรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น 27% แตะ 109 ล้านคน

ในปี 2025 คาดว่าจะมีบริษัท 85 แห่งเข้าจดทะเบียนในตลาด โดยตั้งเป้าระดมทุนรวมประมาณ 1.53 ล้านล้านรูปี (18,000 ล้านดอลลาร์) บริษัทที่เตรียม IPO รวมถึง

  • Zepto ธุรกิจจัดส่งของชำออนไลน์
  • Flipkart India Pvt ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซที่ Walmart สนับสนุน
  • PayU และ Pine Labs ผู้ให้บริการชำระเงินรายใหญ่

นอกจากนี้ Reliance Industries ของ Mukesh Ambani ก็คาดว่าจะนำธุรกิจค้าปลีกและโทรคมนาคมมาแยกจดทะเบียนในตลาด

ตัวขับเคลื่อนใหม่ของตลาด IPO อินเดีย

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาด IPO อินเดียถูกขับเคลื่อนโดยบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSME) ที่ 90% ระดมทุนต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์

Vishnu Agarwal ซีอีโอของ Stock Knocks กล่าวว่า

“ผู้ก่อตั้งบริษัทเริ่มมองเห็นประโยชน์ของการถือหุ้น 75% ในบริษัทมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ ที่จดทะเบียนในตลาด มากกว่าการถือหุ้น 100% ในบริษัทมูลค่าเพียง 10 ล้านดอลลาร์”

นอกจากนี้ เขายังเสริมว่า 

“ปีหน้าเราจะได้เห็นดีลจำนวนมหาศาล เพราะผู้ก่อตั้งบริษัทต่างกระหายการเติบโต”

กองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำโดย Finnomena Funds

Finnomena Funds แนะนำกองทุน B-BHARATA กองทุนรวมหุ้นอินเดีย ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น ตามคำแนะนำ Mr.Messenger Call

ดูรายละเอียดกองทุน B-BHARATA ได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/B-BHARATA

และกองทุน TISCOINA-A กองทุนรวมหุ้นอินเดียซึ่งเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management และคัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up โดยลงทุนผ่าน 3 กองทุนหลักในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ตามคำแนะนำ FundTalk Call และ Mr.Messenger Call

โดย 3 กองทุนหลักที่ TISCOINA-A เข้าลงทุนได้แก่ 

  1. Nomura Funds Ireland plc India Equity Fund คัดเลือกหุ้นจากพื้นฐานเป็นหลัก ประมาณ 25-30 ตัว จาก Universe ประมาณ 240 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่
  2. FSSA Indian Subcontinent Fund เน้นลงทุนในบริษัที่ประกอบธุรกิจในอินเดีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน และบังคลาเทศ โดยเน้นลงทุนประมาณ 50 ตัว กระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
  3. Goldman Sachs India Equity Portfolio เลือกหุ้นประมาณ 70-100 ตัว จาก Universe ประมาณ 700 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก

ดูรายละเอียดกองทุน TISCOINA-A ได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/TISCOINA-A


อ้างอิง: Business Standard 

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Finnomena Funds Market Alert: ตลาดหุ้นเกาหลีพุ่งแรง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

Finnomena Funds
Market Alert เกาหลี

วันนี้ (3 มกราคม 2025) ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 2% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้น SK Hynix ที่ปรับตัวขึ้นถึง +6.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยความคืบหน้าที่สำคัญในการพัฒนาชิป High-bandwidth Memory รุ่น HBM3E 16 เลเยอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่น 12 เลเยอร์ถึง 18 เท่า ทั้งนี้ SK Hynix มีแผนเปิดตัวชิปรุ่นดังกล่าวในงาน CES 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 10 มกราคม ที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

ด้านการเมืองเกาหลีใต้ ความตึงเครียดยังคงเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้มีความพยายามจับกุมนาย ยุน ซอก ยอล อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ซึ่งถูกรัฐสภามีมติถอดถอนออกจากตำแหน่งเนื่องจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อเดือนธันวาคม 2024 โดยศาลเกาหลีใต้ได้อนุมัติหมายจับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามการจับกุมในวันนี้ได้ถูกขัดขวางจากกลุ่มผู้สนับสนุนของนายยุน ทั้งนี้หมายจับมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 6 มกราคม 2025 นี้เท่านั้น

ในขณะเดียวกัน นาย รี ชางยง ผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BoK) กล่าวในแถลงการณ์เนื่องในวันปีใหม่ว่า ธนาคารกลางจะใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยพิจารณาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

Finnomena Funds มองว่าอุปสงค์ของอุตสาหกรรมชิปยังคงแข็งแกร่งจากกระแสการใช้งานด้าน AI จะหนุนให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเติบโตได้ อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจเป็นปัจจัยกดดันของหุ้นเกาหลีในระยะสั้น
เรายังคงแนะนำ “ถือ” กองทุน SCBKEQTG และ DAOL-KOREAEQ

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

จัดใหญ่รับปีใหม่! แจกของขวัญสุดคุ้ม รับฟรีคูปอง FINT Cashback มูลค่า 10,000 บาท

FINT

ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กับ FINT Cashback โฉมใหม่ จาก Finnomena

ขอขอบคุณที่ให้ Finnomena เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนของคุณเสมอมาค่ะ
ทางเราขอมอบของขวัญต้อนรับปีใหม่ 2568 เป็นการตอบแทนด้วย

Cashback สุดปัง! ซื้อกองทุนกับ Finnomena

รับคูปอง FINT Cashback มูลค่า 10,000 บาท ทันที

เพียงกรอกโค้ด FINT2025 เริ่มวันที่ 3 มกราคม 2568

สามารถกดรับคูปองได้วันที่ 16 – 30 พ.ย. 2566

FINT คืออะไร?

“พลิกวงการการลงทุน ลดค่าธรรมเนียมได้”

FINT เป็นคะแนนสะสมสำหรับชาวฟินโนที่จะได้รับจากการใช้งานแพลตฟอร์มและสามารถใช้ FINT ในกิจกรรมต่าง ๆ บนผลิตภัณฑ์และบริการของกลุ่ม Finnomena ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม

FINT สามารถใช้แลกส่วนลดค่าธรรมเนียมซื้อกองทุน Cashback สูงสุด 10,000 บาท*

ฟินโนมีนา มอบมิติใหม่ของการลงทุน…
สู่การเป็นดิจิตอล Wealth Creation Platform

ตอบโจทย์การสร้างความมั่งคั่งผ่านการลงทุน

ขั้นตอนการกดรับคูปองร่วมกิจกรรม

หรือมีข้อสงสัย กดลงทะเบียนเปิดบัญชีรับ FINT

โปรดกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน เราจะติดต่อท่านกลับอีกครั้งเพื่อให้ข้อมูลการเปิดบัญชีรับ 100 FINT

 

เมื่อกดปุ่ม ยืนยันลงทะเบียน แสดงว่าคุณเข้าใจและยอมรับ ข้อตกลงเงื่อนไขการใช้งาน และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ FINNOMENA แล้ว

รายละเอียดเพิ่มเติม

  1. ดาวน์โหลดแอป Finnomena ใน App Store หรือ Google Play Store โดยอัพเดทแอปให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
  2. รับคูปอง FINT Cashback ได้ใน application หรือ www.finnomena.com/coupon-book
  3. เข้าหน้ากิจกรรม “Cashback สุดปัง! ซื้อกองทุนกับ Finnomena Funds รับคูปอง FINT Cashback มูลค่า 10,000 บาท ทันที เริ่มมกราคม 2568” บนแอป Finnomena โดยกรอกโค้ด FINT2025 เพื่อรับคูปอง FINT ในหน้ากิจกรรม โดยผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนมีสิทธิ์ได้รับคูปอง FINT สูงสุด 1 คูปองต่อคน
  4. ระยะเวลาเข้าร่วมกิจกรรม: วันที่ 3-31 มกราคม 2568
  5. คูปอง FINT จะสามารถใช้แลก Cashback ได้เฉพาะการซื้อกองทุนที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันที่ 3-31 มกราคม 2568 เท่านั้น หากผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ได้ใช้คูปอง FINT ภายในระยะเวลาที่กำหนด คูปองจะหมดอายุและ FINT ที่เหลือจากคูปองจะหายไปทันทีหลังสิ้นสุดระยะเวลากิจกรรม
  6. ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถใช้คูปอง FINT ในการเข้าร่วม FINT Cashback สำหรับกองทุนที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อรับส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อกองทุน* (Front-end Fee) จาก บลจ. สูงสุดถึง 10%**
  7. ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถใช้คูปอง FINT แลกรับ Cashback ส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อกองทุนภายในเวลา 23.59 น. ของวันที่สร้างรายการคำสั่งซื้อกองทุน***
  8. คำสั่งซื้อกองทุนจะต้องมีวันที่รายการมีผล (วันที่ตัดเงินค่าซื้อกองทุน) ไม่เกิน 14 วัน และ กองทุนต้องเข้าสู่แผนของผู้ใช้ไม่เกิน 20 วันจากวันที่แลก FINT
  9. Cashback จะคืนในรูปแบบกองทุนตลาดเงิน K-CASH เข้าไปยังแผนของคุณ โดยถ้ามีแผน D.I.Y. จะเข้าไปที่แผน D.I.Y. แผนแรก กรณีที่ไม่มีแผน D.I.Y. จะเข้าไปที่แผนแรกที่คุณสร้าง 
  10. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแลก Cashback จะได้รับ Cashback ภายในวันที่ 28 ก.พ. 2568

*ส่วนลดค่าธรรมเนียมกองทุนไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
**Cashback ที่ได้รับจะไม่เกิน 0.1% ของมูลค่าเงินลงทุน
***รายการคำสั่งซื้อที่ถูกนำไปคำนวณ Cashback จะไม่เข้าร่วมกิจกรรม ลงทุนรับ FINT

นักลงทุนที่กดรับคูปอง FINT Cashback มูลค่า 10,000 บาท ได้จำนวน 1 คูปองต่อคน

– สามารถนำไปแลกรับ Cashback ได้สูงสุด 10,000 บาท สำหรับวงเงินลงทุนสูงสุด 10,000,000 บาท (แลกรับได้ไม่เกิน 0.1% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด)

  1. ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องเป็นผู้ที่เปิดบัญชีกองทุนรวมโดยตรงกับ Finnomena Funds และมีผู้ดูแลสังกัด Finnomena Funds เท่านั้น
  2. บริษัท ฟินท์ โทเคนส์ จำกัด (“บริษัท”) ขอสงวนสิทธิ์ ในการรับคูปอง FINT และแลก Cashback แก่ผู้ร่วมกิจกรรมที่ปฏิบัติตามกฎกติกาและเงื่อนไขการร่วมกิจกรรม ภายใต้ระยะเวลาที่กิจกรรมกำหนดเท่านั้น โดยระยะเวลาเข้าร่วมกิจกรรม คือ วันที่ 3-31 มกราคม 2568
  3. คูปอง FINT แต่ละประเภทมีจำนวนตามที่บริษัทกำหนด โดยเงื่อนไขการใช้คูปอง FINT ให้เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
  4. คูปอง FINT ไม่สามารถซื้อ ขาย โอนสิทธิการรับคูปองให้แก่ผู้อื่น หรือแลกเป็นเงินสด และไม่มีการจ่ายเงินเป็นส่วนประกอบ โดยคูปองดังกล่าวจะหมดอายุหลังจากวันสิ้นสุดกิจกรรม
  5. กรณีที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ใช้คูปอง FINT เพื่อแลก Cashback ไปแล้ว จะไม่สามารถนำ Cashback แลกกลับเป็น FINT ได้อีก
  6. บริษัทจำกัด Cashback สูงสุดที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับตามจำนวนเงินที่ลงทุน โดย Cashback ที่ได้รับจะไม่เกิน 0.1% ของมูลค่าเงินลงทุน ตามที่บริษัทกำหนด
  7. การคำนวณ Cashback จะต้องเป็นกองทุนที่เข้าร่วมกิจกรรม FINT Cashback เท่านั้น โดยการคำนวณ Cashback จะคำนวณจากค่าธรรมเนียมการซื้อหน่วยลงทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนตามที่บริษัทกำหนดโดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมซื้อกองทุนมากกว่าจำนวนวงเงินที่ได้จากการใช้สิทธิ์แลก Cashback ทางบริษัทจะคำนวณเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับ Cashback ในจำนวนที่มากที่สุด
  8. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแลก Cashback จะได้รับ Cashback ภายในวันที่ 28 ก.พ. 2568
  9. เงื่อนไขของกองทุนที่ใช้คำนวณ Cashback ต้องเป็นการทำรายการซื้อหน่วยลงทุนในวันเดียวกับวันที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมใช้สิทธิ์แลก Cashback โดยต้องทำรายการซื้อหน่วยลงทุนและตัดเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนสำเร็จภายใน 14 วัน และกองทุนที่ทำรายการซื้อนั้นต้องเข้าสู่แผนของผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่เกิน 20 วันนับจากวันที่ทำการใช้สิทธิ์แลก Cashback  กรณีที่เป็นคำสั่งซื้อแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) วันที่ทำรายการซื้อหน่วยลงทุนต้องตรงกับวันที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทำการใช้สิทธิ์แลก Cashback
  10. กรณีกองทุนที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการซื้อหน่วยลงทุน บริษัทขอยกเว้นการคำนวณ Cashback ให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ใช้สิทธิ์
  11. บริษัท ขอสงวนสิทธิ์การใช้กิจกรรม FINT Cashback ร่วมกับกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่น โดยธุรกรรมที่ถูกคำนวณ Cashback จะไม่เข้าร่วมกิจกรรมลงทุนรับ FINT
  12. บริษัทจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหาย การสูญหาย หรือการถูกโจรกรรมข้อมูลของผู้เข้าร่วมกิจกรรม อันเนื่องจากปัญหาของระบบเทคนิค หรือการกระทำผิดของบุคคลที่สาม
  13. บริษัทจะไม่รับผิดต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา รวมถึงความเสียหาย สูญเสีย และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม อันเกิดจาก Cashback ที่ได้รับ 
  14. บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆ หรือทำการยุติกิจกรรมดังกล่าว โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า กรณีที่มีข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาท ให้คำตัดสินชี้ขาดของบริษัทถือเป็นที่สุด
  15. บริษัทถือว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้อ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขของกิจกรรม รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขของกิจกรรม วิธีการเล่น รายการของขวัญและรายละเอียดเพิ่มเติมนี้แล้วพร้อมยินยอมที่จะปฎิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ข้างต้นทุกประการ
  16. สอบถามข้อมูล และตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ connect@fint.finance

รีวิวหุ้นบวกแรงที่ Definit SET Select เลือกในปี 2024 ดันผลงานชนะ SETTRI ขาดลอย

Definit
รีวิวหุ้นบวกแรงที่ Definit SET Select เลือกในปี 2024 ดันผลงานชนะ SETTRI ขาดลอย

ปี 2024 ที่ผ่านมา Definit by Finnomena ได้เริ่มให้คำแนะนำหุ้นรายตัว “Definit SET Select หรือ DSS” ซึ่งทำผลตอบแทนบวก 13% (หักทุกค่าธรรมเนียม) ชนะ SET TRI ขาดลอย ที่บวกเพียง 1% 1 ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากกระบวนการคัดเลือกหุ้นอย่างเข้มข้นที่ผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค พร้อมทั้งมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติเพื่อให้เหมาะสมกับภาวะตลาดควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง

1 ผลตอบแทนของ SET TRI คำนวนตามรอบการลงทุนของ DSS เนื่องจาก DSS ได้เคยให้แนะนำแบบ Subscription ซึ่งออกบทความทุกต้นเดือน แต่หากนับตามวันที่ตามปฏิทิน SET TRI +2%

กราฟผลตอบแทนสุทธิรายเดือนประจำปี 2024 2

รีวิวหุ้นบวกแรงที่ Definit SET Select เลือกในปี 2024 ดันผลงานชนะ SETTRI ขาดลอย

Source: Definit, Bloomberg as of 31 Dec 2024 

2 ผลตอบแทนรายเดือนหัก commission fee | ผลตอบแทนสะสม (cumulative return) หัก commission fee, management fee คิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี และ performance fee ที่ 15% โดยคิด high water mark ต่อเนื่องจากผลตอบแทนช่วง backtest | หากนับตามวันที่ตามปฏิทิน SET TRI +2%

กราฟผลตอบแทนรายปีสุทธินับแต่ Backtest, Live Test และเริ่มแนะนำจริง 3

รีวิวหุ้นบวกแรงที่ Definit SET Select เลือกในปี 2024 ดันผลงานชนะ SETTRI ขาดลอย

Source: Definit, Bloomberg as of 31 Dec 2024

3 ผลตอบแทนหัก commission fee, management fee คิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี และ performance fee ที่ 15% โดยคิด high water mark ต่อเนื่องจากผลตอบแทนช่วง backtest  | หากนับตามวันที่ตามปฏิทิน SET TRI +2% ในปี 2024

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูรายละเอียดของหุ้นรายตัวที่สร้างผลตอบแทนอันโดดเด่นในแต่ละเดือน ซึ่งช่วยผลักดันผลตอบแทนของ Defint SET Select เหนือกว่า SETTRI ได้ในปี 2024

เดือนมกราคม

KAMART +11.2% หลังบริษัทเปิดเผยว่าตั้งเป้าผลประกอบการ 3-5 ปีข้างหน้า โตเฉลี่ยปีละ 30-40% จากการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ครบ Category ขณะเดียวกันจะขยายการส่งออก ช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ผลักดันสัดส่วนรายได้ในระยะยาวของพอร์ตเป็น Modern Trade 30% ร้านค้าทั่วไป 30% ส่งออกและออนไลน์ 30-40%

เดือนกุมภาพันธ์

ICHI +10.7% หลังบริษัทรายงานกำไรปี 2566 โต 71% ที่ 642 ล้านบาท จากการบริโภคที่ฟื้นตัวและเป็นปีที่อากาศร้อนยาวนาน นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นสู่ 23.4% จาก 18.7% ในปีก่อนหน้า พร้อมประกาศจ่ายปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 0.50 บาท 

เดือนมีนาคม

KCG +7.9% บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ปี 2024 เติบไม่ต่ำกว่า 10% พร้อมขยายธุรกิจในต่างประเทศ และเตรียมนำ EV Truck เข้ามาเสริมศักยภาพตั้งเป้าเป็น 30% ของจำนวนรถขนส่งทั้งหมดของบริษัท

เดือนเมษายน

AAI +16.4% โดยบริษัทเปิดเผยว่ายอดคำสั่งซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงในยุโรปและอเมริกาดีขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เลี้ยงลดลง นอกจากนี้ได้ยังได้อานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่า

เดือนพฤษภาคม

NSL+21.3% หลังผู้บริหาร NSL ตั้งเป้ารายได้ปี 2024 เติบโตโดดเด่น 19% YoY ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2024 คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าปี 2023 ที่ระดับ 333.48 ล้านบาท โดยในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-กุมภาพันธ์) ยอดขายยังคงอยู่ในกรอบที่บริษัทวางไว้ โดยรายได้เติบโตจะมาจาก 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 

  1. กลุ่มการผลิต OEM ให้กับ 7-Eleven ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการเซ็นคำรับรองการผลิตสินค้า (MOU) ขยายเวลาถึงเดือนธันวาคม 2031 และที่ผ่านมาได้เพิ่มโลโก้ Halal เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามุสลิม
  2. กลุ่ม Food Service ซึ่งในปี 2567 บริษัทจะขยายธุรกิจอย่างจริงจังมากขึ้น
  3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ Brands ของบริษัทเอง ซึ่งในปี 2567 จะมีการขยายตลาดและกระจายสินค้าออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นด้วย

เดือนมิถุนายน

CCET+12.1% โดยได้รับ Sentiment หนุนจากหุ้นกลุ่ม AI ทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังเรื่องความสามารถใตการทำกำไรที่โดดเด่นและการลดต้นทุน ตลอดจนเน้นขายสินค้ามาร์จิ้นสูง และบริษัทได้เตรียมรองรับอุปสงค์สินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ฟื้นตัว

เดือนกรกฏาคม

AAV+13.1% จากความคาดหวังการฟื้นตัวของผลประกอบการในครึ่งหลังของปี 2024 จากปัจจัยฤดูกาล รวมถึงราคาน้ำมันเครื่องบินที่ปรับตัวลดลงทำให้ต้นทุนของบริษัทปรับตัวลง

เดือนสิงหาคม 

PLANB +12.4% หลังบริษัทรายงานงบ 2Q24 โดยรายได้รวม 2,241 ล้านบาท เติบโต 10.20% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ OOH ที่สร้างรายได้ 1,820 ล้าน ขณะที่กำไรอยู่ที่ 264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% YoY

เดือนกันยายน

AURA+12.% โดยบริษัทให้ guidance ว่าผลการดำเนินงานน่าจะเติบโตจากปีที่แล้ว แต่มีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจากปัจจัยทางดูกาล ผู้บริหารเปิดเผยว่าความต้องการของผู้บริโภคสำหรับสิบสินเชื่อทองค่ายังคงแข็งแกร่ง ทำให้มูลค่าพอร์ตสินเชื่อสูงกว่าเป้าหมายสิ้นปีที่ 4.5 พันล้านบาท

เดือนตุลาคม

BA+10.0% หลังบริษัทเผยว่าราคาตั๋วโดยสารที่ทรงตัวในระดับสูงพร้อมเพิ่มเป้าหมายราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ยปี 2024 ใหม่เป็นไม่น้อยกว่า 4,000 บาท จากเดิม 3,900 บาท และปรับเพิ่มคาดการอัตราบรรทุกผู้โดยสารเป็น 85% จาก 83% รวมถึงยอดจองตั๋วล่วงหน้าใน 3Q24 สูงกว่า 3Q23

เดือนพฤศจิกายน 

TASCO +5.5% หลังบริษัทเปิดเบกำไร 3Q24 เติบโต 264%YoY สู่ระดับ 743 ล้านบาท จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของตลาดในประเทศที่ขึ้นสูงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการจัดสรรงบประมาณปี 2024 ของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส 2 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ภายหลังการอนุมัติงบประมาณปี 2025 แล้วคาดการณ์ว่าความต้องการยางมะคอยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2025

เดือนธันวาคม

ONEE+10.7% หลัง Content ฟอร์มยัก 3 เรื่องได้แก่ “แม่หยัว” “การุณยฆาต” และ “ทิชา” ได้รับกระแสตอบรับที่ดีและมีโอกาสช่วยหนุนผลประกอบการ 4Q24 ของบริษัท

Definit SET Select คือกลยุทธ์คัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว โดยพิจารณา 3 ปัจจัย 1) Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น 2) Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม และ 3) Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้น 

รับข้อมูลเพิ่มเติมและบริการ Definit SET Select : https://www.definitinvestment.com/contact-form


ที่มา:

 

หมายเหตุ: การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ  | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค.-ก.ย. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป (หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป) | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2024 จะคำนวนผลตอบแทนตามเดือนนั้นๆ โดยใช้ราคาปิดของสิ้นเดือนนั้น | ผลตอบแทนรวมเงินปันผล | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปีโดยคิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี | เดือน พ.ย. 2024 Definit Quant Portfolio ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Definit SET Select 


คำเตือน

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ใดใดของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดๆ กับ บริษัท

Finnomena Funds Market Alert: ตลาดหุ้นจีนร่วงแรง หลังภาคการผลิตจีนชะลอตัวลง

Finnomena Funds
หุ้นจีน Market Alert

วันนี้ (2 มกราคม 2025) ดัชนี HSCEI หรือหุ้น H-Share ของจีนปรับตัวลดลงกว่า 2% หลังจากการประกาศตัวเลขดัชนีภาคการผลิต (Caixin Manufacturing PMI) ชะลอตัวจาก 51.5 ในเดือนพฤศจิกายน สู่ระดับ 50.5 ในเดือนธันวาคม ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 51.6

นอกจากนี้ ยังมีรายงานระบุว่าธนาคารกลางจีน (PBoC) อาจปรับลดอัตราส่วนเงินสำรอง (Reserve Requirement Ratio) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 หลังจากที่เคยส่งสัญญาณว่าจะดำเนินการดังกล่าวภายในสิ้นปี 2024 สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ได้แสดงความเชื่อมั่นในสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสปีใหม่ว่า GDP ของจีนจะขยายตัว 5% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่จีนตั้งไว้ โดยคาดว่ารัฐบาลจีนจะกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025 ที่ระดับเดียวกับปี 2024 ทางการจีนพร้อมที่จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Finnomena Funds มองว่า การชะลอตัวของภาคการผลิตในจีนและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อาจจะเพิ่มความกดดันให้กับตลาดหุ้นจีน

เราจึงแนะนำให้ “ลดสัดส่วน” การลงทุนในหุ้นจีน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้นตัวบ้าง แต่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนในอนาคต ขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ

จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

Krungsri The Masterpiece ปรับพอร์ตประจำเดือนมกราคม 2025 : เพิ่มกองทุนหุ้นโลกและตราสารหนี้ไทย

บลจ.กรุงศรี
Krungsri The Masterpiece ปรับพอร์ตประจำเดือนมกราคม 2025 เพิ่มกองทุนหุ้นโลกและตราสารหนี้ไทย

มุมมองการลงทุน

ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกให้ผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่มีความผันผวนสูง โดยในช่วงต้นเดือนตลาดยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับแรงกดดันจากความเห็นของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นช่วงๆ เช่น การประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ในอัตราที่สูงขึ้น  ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรงหลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยลงในปี 2568 และ 2569  อย่างไรก็ดี คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงเติบแข็งแกร่งในปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เนื่องจากตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับสูง และคาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่ดำเนินนโยบายที่รุนแรงอย่างที่ได้ประกาศไว้ เพราะบางนโยบายอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี โดยการประกาศนโยบายต่างๆที่ผ่านมาของนายทรัมป์ น่าจะเป็นเพียงการกดดันเพื่อให้เกิดการเจรจามากกว่า  ในส่วนตลาดหุ้นโลก คาดว่าตลาดหุ้นจีนจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากมาตรการของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์มากที่สุด ในขณะที่คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียอาจได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก

สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยได้รับแรงกดดันจากเงินทุนไหลออก ความกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปัญหาการเมืองภายในประเทศ และปัจจัยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่บางตัว  ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปี 2568 น่าจะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการ Easy E-receipt เป็นต้น

ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังเฟดส่งสัญญาณชัดเจนถึงการชะลอการลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี ทิศทางดอกเบี้ยในระยะยาวยังคงเป็นขาลง การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาวที่บริหารแบบเชิงรุก (active management) จึงน่าจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น

พอร์ตการลงทุนสำหรับเดือนมกราคม 2568

บลจ. กรุงศรีฯ แนะนำคงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไว้ที่ระดับต่ำ เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงต่ำกว่าหลายประเทศ และคาดการณ์การเติบโตของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯยังคงอยู่ในระดับต่ำ

สำหรับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ แนะนำปรับพอร์ตการลงทุนโดยเพิ่ม KFGG-A ใน Satellite port เนื่องจากคาดว่าหุ้น growth และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น ทั้งนี้ น้ำหนักการลงทุนใน KFGG-A จะถูกแบ่งออกมาจาก KFWINDX-A และ KFINDIA-A เพื่อลดความเสี่ยงเชิงลบจากการดำเนินนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ในส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ไทย KFAFIX-A และลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ KF-CSINCOM เนื่องจากการชะลอการลดดอกเบี้ยของเฟดส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศอาจให้ผลตอบแทนน้อยลง ในขณะที่ความผันผวนยังคงสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ไทย

ดู Fund Fact Sheet กองทุนที่เพิ่มน้ำหนัก/ปรับเข้า


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน อาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้  กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน อาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้  (non-investment grade) หรือไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bond) ผู้ลงทุนจึงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูลแต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร  0 2657 5757 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

‘กองทุน Healthcare’ กับ คีย์แมนยุคทรัมป์

MacroView
‘กองทุน Healthcare’ กับ คีย์แมนยุคทรัมป์

เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านน่าจะได้ลงทุนในกองทุนรวม Healthcare ของสหรัฐ อาจจะในรูปแบบกองทุนรวม หรือ กองทุนลดหย่อนภาษี อย่าง RMF หรือ SSF โดยหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งใหญ่ ได้มีการประกาศว่าจะแต่งตั้ง 3 ขุนพลหลัก อันประกอบด้วย โรเบิร์ต เอฟ เคเนดี จูเนียร์ หรือ RFK เป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข เจย์ บาธาชญา เป็นหัวหน้าสถาบันด้านสาธารณสุขแห่งชาติ และ เฮอร์เมท ออซ ดูแลด้านหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งทั้ง 3 ท่าน มีแนวทางการทำงานและปรัชญาด้านการสาธารณสุขที่แตกต่างจากยุคของโจ ไบเดน อย่างสิ้นเชิง โดยออกจะเป็นไปในแนวทางที่บริษัทด้านธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณสุขในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไรนัก อาทิ การไม่ค่อยเห็นด้วยกับการฉีดวัคซีน หรือ การไม่เห็นด้วยการ Lock down ในช่วงโควิด โดยทั้ง 3 ท่านยังต้องรอการรับรองจากสภาคองเกรสก่อนจะดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ดังนี้

ขอเริ่มจาก โรเบิร์ต เอฟ เคเนดี จูเนียร์ หรือ RFK กันก่อน

แต่เดิมนั้น RFK มาจากสายรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเน้นให้โลกเราเป็นสีเขียวมาพักใหญ่ถึงขนาดนิตยสาร Times เคยกล่าวชื่นชมเป็นบุคคลที่น่าชมเชยด้านโลกสีเขียว ครั้นมาถึงช่วงโควิด-19 RFK ได้เริ่มแสดงจุดยืนด้านสาธารณสุข โดยนำสไลด์พรีเซนเตชั่นว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างการฉีดวัคซีนกับโรคออทิสซึ่มไปให้ แอนโธนี ฟาวชี ที่คุมหน่วยงานด้านจัดการโควิดหรือ CDC ในยุคนั้นได้พิจารณา ทว่ามีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นกล่าวว่า หลังจากได้พูดคุยกันแล้ว เขาเองเลิกสงสัยในช้อกังขาของ RFK อีกต่อไป

ทั้งนี้ ในวงการตลาดหุ้นสหรัฐ มีความกังวลว่าหาก RFK เข้ารับตำแหน่ง รมว. สาธารณสุข ซึ่งดูแลงบประมาณถึง $1.7 ล้านล้านโดยมาคุมหน่วยงานด้านการสาธารณสุขต่าง ๆ นับตั้งแต่ FDA ที่ทำหน้าที่กำกับด้านการรับรองยารักษาโรคออกสู่ตลาด, CDC ที่ดูแลด้าน Public Health ของสหรัฐ รวมถึง CMS ที่ดูแลงบประมาณด้านการประกันสุขภาพให้กับผู้สูงอายุ/ผู้มีรายได้น้อย หรือ Medicare/Medicaid น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือไม่ เนื่องจาก RFK แสดงความไม่ศรัทธาในวัคซีน ยาลดน้ำหนัก รวมถึงการให้แหล่งเงินในการพัฒนายารักษาโรค ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรคทั่วไปหรือยาที่รักษาโรคเรื้อรัง  ซึ่งจุดที่กังวลคือปริมาณการรับรองประเภทวัคซีนจากทางการสหรัฐที่จะรักษาโรคต่าง ๆจะลดลง เนื่องจากผู้ดูแลนโยบายเองมีความกังวลถึงผลข้างเคียงของวัคซีนเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ท่านที่สอง ได้แก่ เจย์ บาธาชญา นักการแพทย์สาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด เป็นหัวหน้าสถาบันด้านสาธารณสุขแห่งชาติ หรือ NIH จุดที่ทำให้ บาธาชญาโด่งดัง ได้แก่ การให้ความเห็นในเชิงไม่เห็นด้วยต่อการ Lockdown ในสมัยโควิด-19 เนื่องจากประเมินว่าอัตราส่วนผู้เสียชีวิตจากโควิดกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด ต่ำกว่าตัวเลขที่ทางการประกาศหลายสิบเท่า เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อจริงมีจำนวนมากกว่าตัวเลขที่ทางการรายงานเป็นอย่างมาก ดังนั้น การ Lockdown ถือว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุทั้งในแง่ประชาธิปไตยและเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งครั้งหนึ่ง Twitter เคยสั่งแบนบาธาชญาจากความเห็นในลักษณะดังกล่าว จะเห็นได้ว่าทรัมป์แต่งตั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขที่มีความเห็นตรงกันข้ามกับแนวทางปฏิบัติในยุคโจ ไบเดนอย่างสิ้นเชิง

อีกหนึ่งแนวคิดของบาธาชญาว่าด้วยการทำวิจัยในวงการด้านสาธารณสุขของสหรัฐ คืองบประมาณและความก้าวหน้าของนักวิจัยด้านการแพทย์ มักจะเป็นไปในลักษณะที่เป็นเพียงการปรับปรุงแนวคิดเดิมเพียงเล็กน้อยจากนักวิชาการรุ่นเก่าที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ เพื่อให้บทวิจัยของตนเองได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งทำให้การอ้างอิงบทความทางวิชาการเดิม (Citations) ของวงการด้านสาธารณสุขมีจำนวนมากมาย แทนที่จะทำบทวิจัยที่ฉีกแนวออกไปให้มีความก้าวหน้าทางวิชาการให้ก้าวกระโดดไปจากแนวทางเดิม ซึ่งสาเหตุหลักคือความกังวลต่อความเจริญก้าวหน้าทางอาชีพการงานของตนเองที่หากทำเช่นนั้นจะไม่สดใสนั่นเอง

ท่านที่สาม ได้แก่ เฮอร์เมท ออซ ดูแลด้านหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (CMS) ซึ่งรู้จักกันดีในฉายา Dr. Oz ที่มีรายการทอล์คโชว์ซึ่งได้รับความนิยมในทีวีสหรัฐเป็นระยะเวลากว่าสิบปี ทั้งนี้ ออซต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ Senate Financial Commitee ก่อนที่จะรับรองจากสภาคองเกรสอีกต่อหนึ่ง

โดยออซ จบการศึกษาด้านการผ่าตัดหัวใจ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัย และเคยเป็นที่ปรึกษาด้านฟิตเนส โภชนาการ และสุขภาพ ของทรัมป์ในรัฐบาลชุดก่อนของเขา

ตำแหน่งที่ออซจะขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ถือว่าเป็นหน่วยงานที่ดูแลด้านประกันสุขภาพให้ผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมีเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า $1 ล้านล้าน ต่อปี หลายคนประเมินว่าออซจัดเป็นบุคลากรแนว Influencer มากกว่าผู้ดูแลผลประโยชน์ด้านประกันสุขภาพให้กับคนทั่วไป นอกจากนี้ เนื้อหาในรายการของเขาในอดีตก็เคยได้รับการร้องเรียนว่าไม่ได้สอดคล้องกับแนวทางการแพทย์ปัจจุบัน แม้ว่าออซจะถือเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ทรัมป์บอกว่ามาจับงานที่ตรงกับสิ่งที่เรียนมา

โดยออซกับ RFK ถือว่ามีความใกล้ชิดกันมาก จาการที่ RFK ได้เช่าบ้านของออซที่ฟลอริดาอาศัยซึ่งรายงานนี้มาจากข้อมูลของสื่อมวลชนอเมริกัน

ทั้งหมดนี้ ทำให้หุ้นและกองทุนรวม Healthcare สหรัฐ ในช่วงที่ผ่านมาและถัดไป อาจจะมีความเสี่ยงทั้งเชิงลบและบวกจากผู้บริหารภาครัฐที่ดูแลหน่วยงานสำคัญในยุคของทรัมป์อยู่ไม่มากก็น้อย

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort

New Year’s Resolutions วางแผนการเงิน ต้อนรับปีใหม่ 2025

Finspace
New Year’s Resolutions วางแผนการเงิน ต้อนรับปีใหม่ 2025

ช่วงต้นปีแบบนี้ เป็นโอกาสดีที่เราจะหันกลับมาทบทวนตัวเอง พร้อมตั้งเป้าหมายใหม่เพื่อต้อนรับปี 2025 และหนึ่งในเป้าหมายยอดฮิตที่หลายคนให้ความสำคัญก็คือ “เป้าหมายทางการเงิน”

ความพิเศษของการเริ่มต้นวางแผนการเงินในช่วงนี้ คือการได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกับปีใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในทุกด้าน

อย่าปล่อยให้เป้าหมายของเราเป็นแค่คำพูดหรือความตั้งใจที่จางหายไป

ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะตั้งเป้าหมายยังไงดี FinSpace มีมาฝากครับ … เริ่มต้นปีใหม่นี้แฮปปีแน่นอน

New Year’s Resolutions วางแผนการเงิน ต้อนรับปีใหม่ 2025

FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/money-new-years-resolutions/

5 ธีมลงทุนทั่วโลกรับปี 2025 งูเล็กไซส์บอลลูน

DR.JITIPOL PUKSAMATANAN
5 ธีมลงทุนทั่วโลกรับปี 2025 งูเล็กไซส์บอลลูน

ปี 2024 กำลังจะผ่านพ้นไป ได้เวลาที่ Thematic Investor ต้องทบทวนบทเรียนจากการลงทุน เพื่อมองไปข้างหน้า

สำหรับผม วิธีทำความเข้าใจธีมลงทุนของตลาดที่ดีและเร็วที่สุด คือการมองย้อนกลับไปในอดีต จากดัชนีธีมการลงทุนกว่า 200 กลุ่มที่ผมติดตามอยู่ Magnificent 7, Semiconductors, Machine Learning, Thai Tech และ Blockchain คือหัวตารางผลงานโดดเด่น ส่วนธีมที่ทำผลงานย่ำแย่ประกอบด้วย Solar, Clean Tech, China Healthcare, Lithium, และ Thai Healthcare

ประเด็นที่ทำให้ผมแปลกใจ ไม่ได้เกิดขึ้นจากธีมไหนทำผลงานได้ดีหรือแย่เกินคาด แต่กลับเป็นธีมที่ดี ดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ธีมลงทุนที่แย่ ก็แย่ลงไปอีก ทำให้ตลาดยิ่งกระจุกตัว

บทเรียนจากปี 2024 จึงเหมือนกับปี 2023 คือ (1) ถ้าใครไม่มีหุ้นใหญ่สหรัฐผลตอบแทนจะแพ้ตลาดแน่นอน และ (2) ฟองสบู่ทางการเงินสามารถอยู่ได้นานกว่าที่หลายคนคาด

ส่วนบทเรียนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ผมมองว่าเป็น (3) แม้ตลาดจะกระจุกตัว แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเกิดขึ้น การกระจุกตัวจะไม่หายไป บริษัทใหญ่บางบริษัท อาจมีความสำคัญมากกว่าเศรษฐกิจบางประเทศก็เป็นได้

สำหรับปี 2025 ตลาดคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะทรงตัว เงินเฟ้อลดลง ธนาคารกลางลดเบี้ย ความกระจุกตัวทำให้ Valuation แพงผิดปกติ แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างกำลังจะเกิดขึ้นจากประธานาธิบดี Donald Trump ในอีก 4 ปีข้างหน้า

5 ธีมลงทุนในปี 2025 ของผมจึงประกอบด้วยธีมเก่าอย่าง Magnificent 7 และ AI ผสมกับธีมปรับใหม่อย่าง Power Demand, Deregulated Finances และ China Recovery ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงรอบนี้

ธีมหนึ่ง Magnificent 7 เป็นธีมที่ทำผลงานดีสม่ำเสมอ มีโอกาสไปต่อ อย่างน้อยจนกว่ากำไรของ S&P 493 จะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด

ตั้งแต่ต้นปีถึงปลายเดือนพฤศจิกายน Bloomberg Magnificent 7 Index ให้ผลตอบแทนถึง 42% จุดแข็งของหุ้นในกลุ่มนี้ คือกำไรที่เติบโตสูงกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัด

แม้ในปี 2025 ตลาดจะเริ่มมองว่า S&P 493 หรือหุ้นสหรัฐนอก Magnificent 7 จะฟื้นตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นใหญ่จะต้องถูกขายทันที

ผมเชื่อว่าหุ้นใหญ่เหล่านี้จะทำผลตอบแทนไม่แพ้ตลาด อย่างน้อยจนกว่าจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่กดดันหุ้นในกลุ่มโดยตรง เช่น กฎหมายป้องกันการผูกขาด (Antitrust)

ธีมสอง AI ต้องมีติดพอร์ตไว้ต่อตลอดทศวรรษ ปี 2025 เป็นอีกปีที่เราต้องลุ้นว่าจะได้เห็นผู้นำ AI ถือกำเนิดขึ้นในตลาดหุ้นหรือไม่

แม้ปี 2024 จะไม่ใช่ปีที่หุ้นกลุ่ม AI ขึ้นนำตลาด แต่ Indexx Artificial Intelligence Index ก็สามารถทำผลตอบแทนถึง 22% เกาะไปกับดัชนี S&P 500

ผมคงมุมมองเดิมว่า AI เป็นนวัตกรรมที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมในอนาคตได้ ธีมนี้จะมีโอกาส Outperform ตลาดไปอย่างน้อยจนกว่าเราจะเห็นผู้นำที่แท้จริงในธีม AI ถือกำเนิดขึ้น

ปี 2025 ควรเป็นปีที่ตลาดควรเห็นการนำเทคโนโลยีไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจริงมากขึ้น อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือ สื่อสาร ซอฟต์แวร์ ค้าปลีก การเงิน และการขนส่ง

สำหรับใครที่สนใจลงทุน AIQ หรือ Global X Artificial Intelligence & Technology ETF เป็นตัวเลือกที่กระจายลงทุนในผู้นำกลุ่ม AI ได้อย่างดี

อย่างไรก็ดี บทเรียนในปี 2024 สอนว่าถ้าเราต้องรอผู้นำการเติบโตของธีม AI ที่เกิดขึ้นช้า ระหว่างทางควรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไว้ก่อน

ธีมลงทุนที่น่าสนใจเมื่อพูดถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI คือการลงทุนใน Data Center และโรงไฟฟ้า

ด้วยความตื่นตัวของ AI ทำให้เกิดการลงทุนใน Data Center มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปพร้อนกัน ดัชนี Solactive Data Center REITs & Digital Infrastrcuture Index ทำผลตอบแทนได้ 20% พร้อมกับ MSCI World Utilities ที่ปรับตัวขึ้น 11%

Goldman Sachs คาดว่า Data Center ในสหรัฐจะมีสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นราว 8% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมในปี 2030 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียงราว 3% คิดเป็นการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นราว 2.4% ต่อปีจากที่ไม่เติบโตเลยมากว่า 2 ทศวรรษ

แม้จะเป็นการเติบโตที่ไม่สูงมาก แต่เชื่อว่ามีความยั่งยืนและสามารถยืดหยุ่นไปกับกระแส AI ที่กำลังมีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วยความผันผวนที่ต่ำกว่าหุ้น Tech ใหญ่ โดยมี ETF ที่น่าสนใจเป็น VPN หรือ Global X Data Center & Digital Infrastructure ETF

ธีมที่สี่เป็นกลุ่มธุรกิจปรกติที่คาดว่าจะมีนโยบายหนุนอย่าง Deregulated Finances

ผมมองว่ากลุ่มการเงินเป็น Sector ที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนทั้งในภาคการเงินดั้งเดิมและการเงินสมัยใหม่

ข้อเสนอยกเลิกกฎ Basel III Endgame จะช่วยลดข้อจำกัดด้านเงินทุนที่ธนาคารขนาดใหญ่เรื่องการตั้งสำรอง เพิ่มอิสระให้ธนาคารขนาดเล็กในกิจกรรมควบรวมกิจการ (M&A) และการลงทุน คาดว่าจะหนุนให้ทั้งธุรกิจการเงินและสินเชื่อกลับมาเติบโต

นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าการเพิ่มความชัดเจนในกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ Crypto จะทำให้แพลตฟอร์มทางการเงินปัจจุบันมีโอกาสขยายการเข้าถึงลูกค้าและบริการใหม่ๆ เราสามารถเลือกลงทุนหาโอกาสหรือป้องกับความเสี่ยงไปพร้อมกันได้

ธีมการเงินสายเติบโตผมเลือก ARKF หรือ ARK Fintech Innovation ETF ที่มีการผสมผสาน e-commerce เข้าไปด้วย ส่วนสายป้องกัน ผมเลือก Amplify Cybersecurity (HACK) เนื่องจากเป็น ETF ที่เน้นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการบริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

ธีมสุดท้ายสินค้าฟุ่มเฟือยฝั่งยุโรป (EU Consumer Discretionary) ลุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจากนโยบายกระตุ้นภาครัฐ

สินค้าฟุ่มเฟือยในยุโรปเป็นธีมลงทุนสายกลับตัว (Turnaround) ธีมเดียวที่ผมเลือกในปีนี้ โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัว และ Luxury Goods เป็นออุตสาหกรรมที่มักได้รับแรงหนุนมากเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกัน ผมเชื่อว่าปี 2025 เป็นปีที่เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวช้า สนับสนุนการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายจาก ECB กดให้ EUR มีแนวโน้มอ่อนค่า เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าหรูยุโรป

ตัวเลือกที่น่าสนใจมีตั้งแต่หุ้นใหญ่ในยุโรปอย่าง LVMH, Hermès, Kering, หรือ Richemont ส่วนถ้าใครอยากลงทุนเป็นธีม ก็สามารถเลือกลงทุน CD9 หรือ Amundi MSCI Europe Consumer Discretionary ETF และ Amundi S&P Global Luxury UCIT ETF (GLUX) ที่จดทะเบียนในตลาดฝรั่งเศสได้ทั้งคู่

ถึงตรงนี้ผมเชื่อว่า Thematic Investor คงมองเห็นโอกาสสำหรับการลงทุนในปีงูเล็ก 2025 บ้างแล้ว

ในมุมมองของผม ไม่ว่าพอร์ตปัจจุบันของเราจะเป็นแบบไหน เราสามารถสอดแทรกส่วนประกอบของธีมลงทุนเหล่านี้เข้าไปในพอร์ตได้ สิ่งที่สำคัญคือต้องเรียนรู้ที่จะผสมผสานให้มีทั้งธีมเติบโต ตั้งรับ และธีมกลับตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง แบ่งสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม ตามความเสี่ยงที่รับได้

ผมเชื่อว่าธีมเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจตลาด และประสบความสำเร็จในการลงทุนปี 2025 ครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

สรุปผลตอบแทนสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก ประจำปี 2024

Finnomena Editor
สรุปผลตอบแทนสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก 2024

ภาพรวมผลตอบแทนสินทรัพย์ทั่วโลก ตลอดทั้งปี 2024 (มกราคม-ธันวาคม) นี่คือสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด พร้อมด้วยกองทุนแนะนำ Finnomena Pick ของแต่ละสินทรัพย์

1. ราคาบิทคอยน์ BTCUSD ปรับเพิ่มขึ้น 120% ตั้งแต่ต้นปี

กองทุนแนะนำ Finnomena Pick: KT-BLOCKCHAIN-A

สรุปผลตอบแทนสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก 2024

2. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้น 30.4% ตั้งแต่ต้นปี

กองทุนแนะนำ Finnomena Pick: AFMOAT-HA, MEGA10-A

สรุปผลตอบแทนสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก 2024

3. ราคาทองคำ Gold Spot ปรับเพิ่มขึ้น 27.1% ตั้งแต่ต้นปี

กองทุนแนะนำ Finnomena Pick: SCBGOLDH, SCBGOLD

สรุปผลตอบแทนสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก 2024

4. ตลาดหุ้นไต้หวัน Taiwan Index ปรับเพิ่มขึ้น 25.5% ตั้งแต่ต้นปี

กองทุนแนะนำ Finnomena Pick: UOBSGC

สรุปผลตอบแทนสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก 2024

5. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ S&P500 ปรับเพิ่มขึ้น 24.3% ตั้งแต่ต้นปี

กองทุนแนะนำ Finnomena Pick: AFMOAT-HAMEGA10-A

สรุปผลตอบแทนสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก 2024

ภาพรวมผลตอบแทน Global Asset จะเห็นว่าเป็นที่ราคา Bitcoin กลับมา Outperform ราคาทะลุ 100,000 เหรียญได้สำเร็จ และกลับสู่ตลาดกระทิงอีกครั้งหลังผ่านเหตุการณ์ Halving ครั้งที่ 4 ประกอบกับการอนุมัติ Bitcoin ETF ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าถือครอง Bitcoin แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงหุ้นกลุ่ม Blockchain ที่ได้รับอานิงสงส์ไปด้วย

ในขณะที่สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ ก็เป็นปีที่ All-Time High เช่นกัน ด้วยแรงหนุนของอัตราดอกเบี้ยโลกที่เป็นขาลง สงครามตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น ความผันผวนจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และการสะสมสำรองทองคำที่มากขึ้นของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก

ส่วนตลาดหุ้นที่โดดเด่นที่สุด คือ หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นไต้หวัน เนื่องจากการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อุตสาหกรรม Semiconductor และ Generative AI

อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 23/12/2024


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

4 นิสัยที่คนรวยเค้าทำกัน

Finspace
4 นิสัยที่คนรวยเค้าทำกัน
“คนรวย” ทำไมเขาถึงรวยนะ? เป็นข้อสงสัยที่หลาย ๆ คนก็อยากรู้ ไหนใครอยากมีนิสัยแบบริช ๆ เรามาเพิ่มนิสัยเหล่านี้กันจากการสำรวจมานานกว่า 5 ปี ของ ‘Tom Corley’ เขาตั้งใจที่จะสำรวจ “นิสัยรวยๆ” ของเหล่าเศรษฐี เพื่อสำรวจว่าคนที่รวยที่สุดในโลก มีมุมมองไหนเกี่ยวกับเงินของพวกเขา แต่ละรายแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
4 นิสัยที่คนรวยเค้าทำกัน

  • Saver-Investors ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไร พวกเขาก็มักจะหาทางลงทุนในการเงิน คิดหาทางอยู่ตลอดว่าจะสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองอย่างไร
  • Company Climbers คนรวยบางคนมักให้ความสำคัญกับหน้าที่การงาน โดยการเข้าไปสู่บริษัทใหญ่ทุ่มเทเพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น จนกว่าจะถึงระดับผู้บริหาร
  • Virtuosos คนรวยบางคนเป็นมักคนเก่ง และได้รับเงินเดือนสูงเพราะมาจากความสามารถและประสบการณ์ของตัวเอง จึงมักจะต้องมีการศึกษาเฉพาะทางขั้นสูง เช่น ด้านกฎหมาย ด้านการแพทย์
  • Dreamers คนรวยต่างเดินตามความฝัน เพราะมีโอกาสและมีเงินที่พร้อมซัพพอร์ต เช่น มีธุรกิจเป็นของตัวเอง เป็นดาราที่มีชื่อเสียง คนกลุ่มนี้รักในสิ่งที่ตัวเองทำ และสิ่งเหล่านี้เองก็สะท้อนกลับมาเป็นเงิน
FinSpace

บทสรุปปี 2024 เกิดอะไรบ้างในโลกการลงทุน!

Finnomena Editor
สรุปข่าวเด่นปี 2024

สรุปข่าวเด่นรายเดือนตลอดทั้งปี 2024 รวมมาให้กับทุกเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อแวดวงเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน มากมายด้วยสีสัน มีดีและร้ายปะปนกันไป เพราะโลกแห่งการลงทุนนี้ไม่เคยจะหยุดนิ่ง และนับวันก็ยิ่งหมุนในอัตราที่เร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ

สรุปข่าวเด่นปี 2024

เดือนมกราคม

  • Bitcoin ETF ถูกอนุมัติให้จัดตั้งซื้อขายได้อย่างเป็นทางการโดย ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน Bitcoin ด้วยการซื้อเพื่อถือครองจริง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสภาพคล่องของตลาด เพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุน และเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนใน Bitcoin ได้โดยตรง
  • Evergrande Group ศาลฮ่องกงอ่านคำตัดสินให้ล้มละลาย และปิดกิจการลงเป็นที่เรียบร้อย หลังจากการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2021 รวมมูลค่ากว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ในจีนที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก และสร้างแรงกระเพื่อมเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีนมหาศาล

เดือนกุมภาพันธ์

  • ตลาด Bullish เป็นเดือนที่หุ้นอเมริกา หุ้นยุโรป และหุ้นญี่ปุ่น ต่างพากันทำราคาปรับตัวขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติกาล All-Time High วิ่งเข้าสู่ตลาดกระทิงอย่างพร้อมเพรียง
  • Warren Buffett เขียนอำลา Charlie Munger ในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2024 โดยใช้โอกาสนี้กล่าวยกย่อง Charlie ที่เปรียบดั่งพี่ชายผู้แสนดี และสถาปนิกแห่ง Berkshire Hathaway ซึ่งเสียชีวิตเมื่อช่วงปลายปี 2023 

เดือนมีนาคม

  • วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ออกมาจุดไฟปะทุอีกครั้งว่าพร้อมใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำสงครามกับยูเครน หลังการสู้รบยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน
  • ญี่ปุ่น ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี สู่ระดับ 0 – 0.1% จากระดับ -0.1% ถือเป็นการสิ้นสุดยุคดอกเบี้ยติดลบ พร้อมทั้งการกลับทิศนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างมาก
  • ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตั้ง “บริษัท ตีแตก จำกัด” เพื่อใช้ลงทุนหุ้นต่างประเทศทั่วโลก พร้อมกับความรู้สึกสิ้นหวังกับผลตอบแทนหุ้นไทย

เดือนเมษายน

  • อิสราเอล – อิหร่าน ยิงจรวดนิวเครียร์ ทำให้ความตึงเครียดในดินแดนตะวันออกกลางกลับมาอีกครั้ง
  • Tesla ราคาหุ้นร่วงรุนแรง เมื่อบริษัทลงมาเล่นในเกม EV War ลดราคารถทุกรุ่น เพื่อสู้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน นำมาสู่การแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างมาก

เดือนพฤษภาคม

  • Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft มาเยือนไทย โดยประกาศการลงทุนจัดตั้ง Data Center ระดับภูมิภาคแห่งใหม่ในประเทศไทย

เดือนมิถุนายน

  • Nvidia ขึ้นแท่นบริษัทมูลค่า 3 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก จากความสำเร็จของการเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก และการเติบโตของอุตสาหกรรม Generative AI
  • หุ้นไทยหลุด 1300 ต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยพบว่าแรงขายส่วนมากอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ ท่ามกลางปัจจัยกดดันด้านการเมือง และการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

เดือนกรกฎาคม

  • มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 เปิดฉากการแข่งขันอย่างเป็นทางการ โดยมีการวิเคราะห์ว่าเจ้าภาพประเทศฝรั่งเศส จะได้รับผลดีจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย ด้วยเม็ดเงินที่สะพัดกว่า 9,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เดือนสิงหาคม

  • Donald Trump ตัวแทนชิงตำแแหน่งประธานธิบดีของพรรครีพับลิกัน โดนลอบยิงสังหารในขณะปราศรัยที่เมืองบัตเลอร์ มลรัฐเพนซิลเวเนีย ด้านพรรคเดโมแครตก็เกิดการผลัดใบ โดย Joe Biden ประกาศถอนตัวการชิงตำแหน่ง และสนับสนุนให้ Kamala Harris ท้าชิงแทน 
  • วิกฤตศรัทธาหุ้น EA หรือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีประเด็นทุจริตโดยผู้บริหารระดับสูงและผู้ถือหุ้นใหญ่ จนกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วตลาดหุ้นไทย
  • กองทุน Thai ESG เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี 2567 ได้มากขึ้นเป็น 3 แสนบาท และลดระยะเวลาถือครองเหลือเพียง 5 ปีนับจากวันที่ซื้อ
  • Warren Buffett ขายหุ้น Apple ทิ้งเกือบครึ่งพอร์ต โดยบอกว่าเป็นเหตุผลด้านภาษี และทำให้ Berkshire Hathaway กลายเป็นบริษัทที่ถือเงินสดสำรองทุบสถิติใหม่

เดือนกันยายน 

  • หุ้นญี่ปุ่น Black Monday วันเดียวราคาร่วงกว่า -12% ดิ่งหนักสุดในประวัติศาสตร์ พร้อมกดดันตลาดหุ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย เนื่องจากความกังวลหลัง BOJ ขึ้นดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 0.25% เกิดเหตุการณ์ Yen Carry Trade ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ควบคู่กับความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจ Recession 
  • แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ต่อจาก เศรษฐา ทวีสิน ที่พ้นจากตำแหน่งจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
  • เสนอขายกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มูลค่ารวม 1 แสน – 1.5 แสนล้านบาท แก่ผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศจองซื้อ ในขณะที่ โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต เริ่มแจกเงิน 10,000 บาท เฟสแรกให้แก่กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน
  • Fed ลดดอกเบี้ย 0.5% ถือว่าเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี หลังจากที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ 

เดือนตุลาคม

  • กนง. เซอร์ไฟร์สลดดอกเบี้ย 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลดลงสู่ระดับ 2.25% โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้  ประกอบกับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 
  • รัฐบาลจีนอัดบาซูก้ากระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนหุ้นจีนพุ่งแรงกว่า 20% ในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ ผ่านมาตรการปรับลด Reserve Ratio Requirement (RRR), การเริ่มโครงการ Re-lending Program เสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารมูลค่ากว่า 3 แสนล้านหยวน, การทำ Swap Program ที่อนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ กองทุน และบริษัทประกัน สามารถเพิ่มสภาพคล่องจากธนาคารกลางเพื่อซื้อหุ้น เป็นต้น
  • ราคาทองคำ All-Time High ต่อเนื่อง แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยโลกที่มีแนวโน้มเป็นขาลง สงครามตะวันออกกลางรุนแรงขึ้น ความผันผวนจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และการสะสมสำรองทองคำที่มากขึ้นของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก

เดือพฤศจิกายน

  • Donald Trump ชนะเลือกตั้ง ก้าวขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 พร้อมทั้งครองเสียงข้างมากในสภา Congress แบบเบ็ดเสร็จ (Red sweep) ทำให้นโยบายสำคัญที่เคยหาเสียงไว้ถูกจับตามองอย่างมาก เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน, มาตรการกำแพงภาษีสินค้านำเข้า, การลดภาษีนิติบุคคล, การส่งเสริมบิทคอยน์ และการสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นต้น

เดือนธันวาคม

  • ราคา Bitcoin แตะ 100,000 เหรียญเป็นครั้งแรก หลังได้แรงหนุนจากการอนุมัติ Bitcoin ETF และนโยบาย Trump 2.0 ที่สนับสนุนการใช้บิทคอยน์เป็นทุนสำรองของสหรับฯ 
  • ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ประกาศกฎอัยการศึกกลางดึก อ้างเหตุผลการป้องกันประเทศจากภัยคุกคามโดยกลุ่มสนับสนุนกองกำลังคอมมิวนิสต์ แต่กลับเจอกระแสต่อต้านรุนแรงจากประชาชน ทำให้รัฐสภาเกาหลีใต้ลงมติให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา
  • Jensen Huang แห่ง Nvidia เดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยแถลงความร่วมมือเพื่อผลักดันการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน AI ในไทย

 

Finnomena Yearly Investment Outlook กลยุทธ์การลงทุนปี 2025: “ลงทุนพิชิตความเปลี่ยนแปลงฉากทัศน์โลก Winning Playbook amid Global Shifts”

Finnomena Funds
Finnomena Yearly Investment Outlook กลยุทธ์การลงทุนปี 2025: “ลงทุนพิชิตความเปลี่ยนแปลงฉากทัศน์โลก Winning Playbook amid Global Shifts”

Executive Summary 

  • เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงต่อจากค่าเช่าบ้านและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่มาตรการกีดกันผู้อพยพจะกระทบต่อเงินเฟ้อจำกัด แต่เงินเฟ้อยังมี upside risk จากกำแพงภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ  Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลงต่อในระดับที่น้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ทิศทาง Dollar จะอ่อนค่าซึ่งจะสอดคล้องกับยุค Trump 1.0 ที่ Dollar อ่อนค่าลงในช่วงปีแรก ในกรณีฐานของเราคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่สภาวะถดถอยและจะเติบโตระดับปกติ ตลาดหุ้นจะลดความกระจุกตัวลง แต่ Valuation ที่แพงจำเป็นต้อง Selective ในการลงทุน
  • เราจึงแนะนำ Neutral สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในภาพรวมของดัชนี S&P500 แต่ยังคงแนะนำ Selective Buy หุ้นสหรัฐฯ ในกลยุทธ์อื่นๆ ที่มี Valuation ที่แพงน้อยกว่า เช่น US Small Caps, Value, หรือ Equal Weight เช่น กองทุน ASP-USSMALL-A, AFMOAT-HA และยังมีมุมมองมอง Positive ต่อ Global Bond (กองทุน UGIS-N) และ Asian Bond K-APB-A(A))  ที่ได้ประโยชน์จาก Yield ระดับสูงและมีแนวโน้มปรับตัวลง รวมถึงมีมุมมอง Slightly Positive ต่อทองคำ ที่ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกต่อเนื่อง
  • เศรษฐกิจยุโรปจะฟื้นตัวช้าและอาจได้รับผลกระทบจากนโยบาย Trump 2.0 เช่น กำแพงภาษี และสงคราม นอกจากนี้ ECB ยังเจอความท้าทายเรื่องการลดหรือคงดอกเบี้ย หลังคณะกรรมการนโยบายการเงินเริ่มมีจุดยืนที่แตกต่างกัน เราจึงแนะนำ Slightly Negative สำหรับตลาดหุ้นยุโรป
  • เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตได้แต่เปราะบาง ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ BoJ ที่มีท่าทีดำเนินนโยบายการเงินสวนทาง Fed และทิศทาง Dollar ที่อ่อนค่า อาจทำให้เงินเยนกลับมาแข็งค่าและเป็นผลเสียต่อตลาดหุ้น ราจึงแนะนำ Slightly Negative ต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
  • เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อตลาด EM ในภาพรวม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างโดดเด่น และยังได้ประโยชน์จาก China+1 Strategy  อย่างตลาดหุ้นอินเดีย (กองทุน B-BHARATA, TISCOINA-A) และตลาดหุ้นเวียดนาม (PRINCIPAL VNEQ-A)  ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เรามีมุมมอง Neutral โดยยังต้องติดตามความคืบหน้าการส่งมอบ Chip HBM3E ให้แก่ Nvidia ของ Samsung ขณะที่โครงการ Value-up Program เพิ่งเริ่มต้นและต้องใช้เวลาให้บริษัทปรับตัวกว่าจะเริ่มเห็นผล
  • เรามีมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นไทย จากภาครัฐที่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาอย่างต่อเนื่อง การเบิกจ่ายงบภาครัฐบาลเริ่มฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จาก China+1 Strategy ขณะที่ประมาณกำไรของตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับหุ้นไทยเราเน้นว่าต้องลงทุนอย่าง Selective คือคัดเลือกหุ้นอย่างเข้มข้นไม่อ้างอิงกับตลาด แนะนำกลยุทธ์ Definit SET Select 
  • เรามีมุมมอง Slightly Negative ต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากมีความไม่แน่นอนด้านความสันพันธ์กับสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมยังไม่มากเพียงพอที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้ในระดับเช่นเดิม โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ และความมั่นใจของผู้บริโภค 
  • อุตสาหกรรม AI ยังเติบโตได้ต่อในระยะยาว แต่เราชื่นชอบหุ้นกลุ่ม AI Infrastructure หรือกลุ่มกลางน้ำ เนื่องจากยังมีแนวโน้มเติบโตจากการใช้งานด้าน AI ทั้งในแนวกว้างและแนวลึก รวมถึงบริษัทต่าง ๆ ยังมีการลงทุนสร้าง Infrastructure ใหม่ ถึงแม้ในระยะสั้นเม็ดเงินลงทุนอาจกระทบไปที่กำไรบ้าง แต่คาดว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ขณะที่กลุ่มต้นน้ำอย่าง Semiconductor ยังเป็นกระดูกสันหลังให้กับโลกเทคโนโลยีและ AI  แต่มีปัจจัยกดดันจากเรื่องการขึ้นภาษีของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการผลิตชิปสูงขึ้น กลุ่มปลายน้ำอย่าง AI Application (บริษัททำแพลตฟอร์มให้แก่ลูกค้า) ซึ่งเป็นกลุ่มที่แข่งขันรุนแรง และบริษัทส่วนใหญ่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนว่า AI Product สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างมีนัยยะ
  • แนะนำกองทุน TISCOAI ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะใช้ประโยชน์จาก AI & Big Data ได้เต็มที่ จากปัจจัยเรื่องสิทธิบัตร ที่ตีความได้ว่าบริษัทมีความตั้งใจจะพัฒนา AI จริง ๆ (และกองนี้ก็มีผลตอบแทนย้อนหลังที่ดี) และกองทุน B-INNOTECH ที่ยังคงใช้ Valuation Discipline เหมือนเดิม และเป็นกองที่ Ride the AI Wave แต่เน้นหุ้นที่มี Durable Earnings เป็นหลัก (เช่น TSMC) และยังคงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว
  • หุ้นกลุ่ม Healthcare เรามีมุมมอง Neutral แม้อุปสงค์ยาลดความอ้วนยังเติบโตระยะยาว แต่บางนโยบายของทรัมป์อาจเป็นปัจจัยกดดัน เช่น การกำหนดเพดานราคายาเพิ่มเติม และผลักดันให้มีความโปร่งใสมากขึ้น แต่ตลาด Priced In ไปบางส่วนแล้ว 
  • เรามีมุมมอง Slightly Negative ต่อหุ้นกลุ่มการเงิน แม้ค่อนข้างได้ประโยชน์จากการลดภาษีและการ Deregulation แต่ Rate Cut Cycle จะกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ Valuation อยู่ในระดับที่แพงมาก 
  • เรามีมุมมอง Negative ต่อราคาน้ำมัน โดย OPEC มีอิทธิพลในการควบคุมราคาน้ำมันลดลงหลัง สหรัฐฯเริ่มกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ขณะที่ EIA คาด Supply เร่งตัวแรงกว่า Demand ในปี 2025 และคาดระยะยาวน้ำมันมีความต้องการน้อยลง
  • Global REITs เรามีมุมมอง Neutral โดยแนวโน้มเงินปันผลเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะ REITs สหรัฐฯที่ฟื้นตัวโดดเด่น โดยอุตสาหกรรมกลุ่มที่ฟื้นตัวโดดเด่นได้แก่ Data center Industrails และ Residential แต่ Valuation ในแง่ PBV อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • ขณะที่ REITs ไทย เรามีมุมมอง Slightly Negative โดยกลุ่ม Retail แม้อุปสงค์ฟื้นตัวแต่อุปทานใหม่จากโครงการใหญ่จะกระทบต่อภาพรวมค่าเช่า ขณะที่กลุ่ม Industrial ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ แต่โดยภาพรวม REITs ไทย สภาพคล่องไม่สูงและส่วนใหญ่เป็น Leasehold 
  • เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อหุ้น Global Infrastructure  ที่มีความ Defensive สูง ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง และการเติบโตของบางกลุ่ม เช่น Data Center และการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยแนะนำกองทุน KKP GINFRAEQ-H
  • เรามีมุมมอง Positive ต่อหุ้นกลุ่ม Blockchain จากตลาด Cryptocurrency ได้รับแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนของทรัมป์ รวมถึง Fund Flow ของ Bitcoin และ Ethereum Spot ETF เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายปี 2024 โดยแนะนำกองทุน ASP-DIGIBLOC และ KT-BLOCKCHAIN-A ที่เน้นลงทุนในหุ้น Blockchain และได้อานิสงส์จากตลาด Cryptocurrency

 


ดาวน์โหลดฟรี! 

“สไลด์มุมมองการลงทุนประจำปี 2025”

จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน


คำเตือนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299

บลจ.เอ็มเอฟซี : Promotion กองทุนลดหย่อนภาษี 2567

Finnomena Editor

 

 


คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”

กองทุนลดหย่อนภาษี ‘สินทรัพย์ทางเลือก’ ที่โดนใจ (3)

MacroView
กองทุนลดหย่อนภาษี ‘สินทรัพย์ทางเลือก’ ที่โดนใจ (3)

สำหรับ 2 บทความที่แล้ว ได้แนะนำกองทุนลดหย่อนภาษีของสินทรัพย์ไทยและฝั่งเอเชีย รวมถึงสหรัฐ บทความนี้จะขอแนะนำเพิ่มเติมกองทุนต่างประเทศในสายโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานทางเลือก และสินค้าโภคภัณฑ์ ที่รวมเรียกว่าสินทรัพย์ทางเลือก ดังนี้

เริ่มจาก กองทุนลดหย่อนภาษีเกี่ยวกับ Infrastructure  ซึ่งนอกจากจะหมายถึงโครงสร้างพื้นฐานในทางกายภาพ อาทิ ด้านไฟฟ้า ประปา และถนนหนทาง ยังหมายรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI) จากความต้องการ data center สำหรับการสร้างระบบ AI อย่างมหาศาล นอกจากนี้ อุปสงค์ต่อ Infrastructure ด้าน Green Economy ยังเพิ่มมากขึ้นจากการแข่งขันของประเทศต่าง ๆและบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สูงขึ้นเพื่อลดก๊าซคาร์บอน มลพิษที่ปล่อยออกมา ท้ายสุด ประชาชนที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว การพัฒนาเข้าสู่ความเป็นเมือง (Urbanization) ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และการทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเข้าสู่ยุคดิจิตัล ล้วนส่งผลให้ความต้องการทรัพยากรด้าน Infrastructure ให้มีสูงขึ้น

กองทุนประหยัดภาษีในตลาดหุ้นต่างประเทศ แนว Infrastructure ที่ผมมองว่าน่าสนใจมีอย่างน้อย 2 กองทุน ได้แก่ KFINFRARMF ซึ่งมีกองทุน UBS (Lux) Infrastructure Equity Fund เป็น Feeder Fund และ KGIFRMF ซึ่งมีกองทุน Wellington Enduring Assets Fund, USD S Accumulating Unhedged เป็นกองทุนหลักที่อ้างอิง

โดย KFINFRARMF ผ่านกองทุน UBS (Lux) Infrastructure ตั้งเป้าลงทุนในธีมที่เน้นบริษัททั่วโลกที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบสมัยใหม่ รวมถึงสินค้าและบริการในแนวทางดังกล่าว ในขณะที่ KGIFRMF ผ่านกองทุน Wellington Enduring Assets Fund เน้นบริษัททั่วโลกซึ่งมีสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน อาทิ เซกเตอร์ Utility, การขนส่ง, พลังงาน, อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม ซึ่งเชื่อว่ามีความสามารถในการแข่งขันและมีความผันผวนของกำไรที่ต่ำ

ในมิติของเซกเตอร์หรือธุรกิจที่ลงทุน KFINFRARMF โฟกัสไปที่ธุรกิจการจัดเก็บพลังงาน Oil & Gas และการขนส่ง ส่วน KGIFRMF โฟกัสไปที่ Electric และ Multi Utilities ในขณะที่ทั้งคู่ลงทุนในหุ้นสหรัฐราว 55-58% ของทั้งหมด KFINFRARMF ลงทุนในหุ้นยุโรป 34% ด้าน KGIFRMF ลงทุนในหุ้นยุโรป 24% โดยที่เหลือลงทุนในตลาดเกิดใหม่และญี่ปุ่น อีก 17%

นั่นคือ KFINFRARMF เน้นธุรกิจการจัดเก็บพลังงาน Oil & Gas ในยุโรป ส่วน KGIFRMF เน้นลงทุนใน Electric และ Multi Utilities ทั่วโลก ซึ่งโดยส่วนตัวชอบโมเดลของ KGIFRMF มากกว่าเล็กน้อย

ด้านผลประกอบการของกองทุน ณ 4 ธ.ค. 2024 ในระยะ 1 และ 3 ปี KGIFRMF ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า KKFINFRARMF ราว 5% และ 2% ตามลำดับ ส่วนในระยะ 5 ปี KFINFRARMF ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า KGIFRMF ราว 1.4% โดยทั้งคู่ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีมากในกลุ่ม Infrastructure

โดยสรุป ทั้ง KFINFRA-RMF และ KGIFRMF ถือว่าน่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหากองทุนลดหย่อนภาษีที่เป็นสินทรัพย์ทางเลือก

หันมาพิจารณากองทุนลดหย่อนภาษีแนวพลังงานทางเลือกและสิ่งแวดล้อม กันบ้าง โดยแม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะมิได้มีนโยบายที่เน้นแนวรักษ์สิ่งแวดล้อม ทว่าอิลอน มัสก์ ฐานเสียงสำคัญของทรัมป์มีธุรกิจ EV ซึ่งทำให้นโยบายแนวโลกสีเขียวยังน่าจะได้ไปต่อในรัฐบาลของทรัมป์

กองทุนที่แนะนำ ได้แก่ B-SIPRMF ซึ่งมี Feeder Fund อยู่ 2 กอง ได้แก่ Pictet – Global Environmental Opportunities ซึ่งมีนโยบายลงทุนในบริษัทที่มีแนวทางทำให้สิ่งแวดล้อมโลกดีขึ้นผ่านสินค้าและบริการในห่วงโซ่อุปทานเพื่อช่วยให้โลกมีคาร์บอนต่ำลง และ Pictet – Clean Energy Transition ที่ลงทุนสัดส่วน 2 ใน 3 ของทั้งหมดเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างสู่โลกคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืน โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการลงทุนที่โฟกัสอัตราส่วนทางการเงินเพื่อให้วัตถุประสงค์สามารถสำเร็จลุล่วงได้

ในมิติของเซกเตอร์ที่กองทุนต้นทางอ้างอิงทั้งสองลงทุน จะพบว่าในขณะที่ Pictet – Global Environmental Opportunities เน้นบริษัทในเซกเตอร์อุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโลกสีเขียวทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยหุ้น Top 5 ได้แก่  Carrier Gobal, Republic Services, Waste Connections, Agilent Technologies และ Equinix ด้าน Pictet – Clean Energy Transition จะโฟกัสไปที่เซกเตอร์เทคโนโลยีซึ่งมีการใช้ Know-how ด้านพลังงานทางเลือกเป็นหลัก โดยหุ้น Top 5 ได้แก่ Broadcom, Nextera Energy, Trane Technologies, Linde และ Iberdrola

สำหรับผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่าทั้งคู่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดโดยรวมของสหรัฐ แม้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรง จะขึ้นน้อยกว่าตลาดเล็กน้อย แต่ในช่วงขาลง ราคาของกองทุนก็สามารถยืนได้ดีกว่าตลาด จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์แนวการลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ

สินทรัพย์การลงทุนทางเลือกที่น่าจะจำเป็นที่สุดในพอร์ตของทุกท่าน น่าจะเป็น ‘ทองคำ’ ซึ่งในยุคที่โดนัลด์ ทรัมป์ ให้การสนับสนุน crypto แบบสุดตัว ยิ่งทำให้ทองคำจำเป็นมากขึ้นในพอร์ตเผื่อไว้ในกรณีที่สินทรัพย์ดิจิตัลอย่าง crypto เกิดสะดุดขึ้นมาในอนาคต จะได้เป็นกำลังหลักในพอร์ตที่น่าจะจำเป็นมากสำหรับการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐมีผลกระทบจาก crypto มากขึ้นกว่าในอดีต โดยผมมองไปที่ BGOLDRMF และ KGDRMF ว่าน่าสนใจกว่าเพื่อน แม้ว่ากองทุนทองประหยัดภาษีอื่น ๆ ก็น่าจะสามารถทำหน้าที่กระจายความเสี่ยงได้ดีเช่นกัน

ทั้งนี้ ว่ากันว่าสินทรัพย์การลงทุนทางเลือกควรจะมีอยู่ในพอร์ตราว 5-10% ของทั้งหมด เพื่อใช้ในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทน โดยจะทำให้พอร์ตการลงทุนมีความยืดหยุ่นและหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com


คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF และ Thai ESG กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | บางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”