This Issue
สรุปข่าวเศรษฐกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
Eye On This Week
ประเด็นน่าจับตามองในสัปดาห์นี้
Market
ภาพรวมตลาดและสินทรัพย์ที่น่าสนใจ
Finnomena Port Performance
ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
Golden Week หรือเทศกาลหยุดยาวของจีน ปีนี้รอบครึ่งปีแรกในช่วงเทศกาลตรุษจีน ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเชินเจิ้น (A-Shares) จะปิดทำการตั้งแต่วันอังคารที่ 28 มกราคม จนถึงวันจันทร์ 3 กุมภาพันธ์ 2025 ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Shares) จะหยุดตั้งแต่วันอังคารที่ 28 มกราคม ถึงวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2025
อย่างไรก็ตาม วันหยุดของกองทุนรวมหุ้นจีนต่าง ๆ ในไทย จะแตกต่างกันตามแต่ละนโยบายการลงทุนของ บลจ. ซึ่งเรารวบรวมบางส่วนมาฝาก ดังนี้
รวบรวมข้อมูลวันหยุดกองทุนบางส่วนจาก บลจ. ที่มีการเผยแพร่เป็นสาธารณะ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แต่ละ บลจ.
เราควรตั้งเป้าหมายที่ต้องการให้สำเร็จก่อน จากนั้นเริ่มเก็บออมเงิน มีน้อยเก็บน้อย มีมากเก็บมาก ตามรายได้ที่มากขึ้นในอนาคต โดยสิ่งสำคัญคือ เราควรเก็บเงินสำรองฉุกเฉินเป็นสิ่งแรกก่อน เพราะ First Jobber มีโอกาสที่จะเปลี่ยนงานมากกว่า Gen อื่น ๆ เพื่อต้องการความก้าวหน้า หาตำแหน่งที่ชอบ ดังนั้น การมีเงินสำรองหรือเผื่อไว้ยามเราฉุกเฉิน จะทำให้เราไม่ลำบาก และไม่ต้องไปกู้ยืมเงินจากคนอื่น
ถ้าจะฝากเงินไว้กับธนาคาร ฝากไว้เพียงบางส่วนเพื่อใช้สอยและใช้ยามฉุกเฉินก็เพียงพอ หากทิ้งเงินออมเอาไว้ในบัญชีออมทรัพย์จำนวนมาก ๆ เราอาจเสียโอกาสที่จะทำให้เงินงอกเงย เพราะดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์น้อย และยิ่งเราอยู่ในยุคเงินเฟ้อ เงินออมของเราเติบโตตามไม่ทันแน่ ๆ เราจึงต้องมองหาทางเลือก นอกจากฝากเงินกับธนาคาร ซึ่งก็มีช่องทางการออมที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์, กองทุนประกันสังคม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท หรือถ้ามีความรู้เรื่องการลงทุน กองทุนรวม ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
เลือกออมเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่เราสามารถยอมรับได้ วิธีง่าย ๆ คือ DCA เป็นงวด ๆ ด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กัน หรือใช้บริการหักเงินออมจากเงินเดือนอัตโนมัติ เพื่อความสะดวก ซึ่งจะช่วยให้เรามีวินัยการออมทุกเดือน และหากเรานำไปใช้กับการลงทุน ก็จะช่วยให้เงินทำงานสร้างดอกผลอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
วันนี้ 24 มกราคม 2025 ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Share ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2% หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox News โดยระบุว่า ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือที่ทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจเหนือจีนอย่างมาก และจีนไม่ได้ต้องการให้เกิดสิ่งนี้ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เขาไม่อยากใช้มาตรการภาษีศุลกากร ถึงแม้จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้สหรัฐฯมีอำนาจเหนือกว่าจีนอย่างมาก
นอกจากประเด็นเรื่องภาษีศุลกากร ทรัมป์ยังได้แสดงความชื่นชมจีนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยกล่าวว่า “สี จิ้นผิงเป็นเหมือนเพื่อนของผม” และการสนทนาผ่านทางโทรศัพท์ระหว่างพวกเขาเป็นไปด้วยดี
การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ได้ข่มขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 หากจีนยังคงปล่อยให้เฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เคยเสนอการเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนในอัตราสูงสุดถึง 60% ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
Finnomena Funds มองว่าตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกระยะสั้นจากความตึงเครียดทางการค้าที่ไม่รุนแรงอย่างที่คาด โดยเรามองว่าเป็นโอกาสลงทุนในระยะสั้น ตามคำแนะนำ FundTalk Contrarian แนะนำลงทุนระยะสั้นในกองทุน MEGA10CHINA-A เน้นลงทุนใน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share โดยคาดว่าตลาดหุ้นจีนมีโอกาสรีบาวด์หลังปรับฐานไปกว่า ~20% รับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนตรุษจีน
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นปริมาณธุรกรรมที่ฟื้นตัวบ้าง แต่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นจีนในอนาคตระยะยาว ขณะที่มูลค่า (valuation) ตลาดหุ้นจีนในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
Finnomena Funds ฉลองความสำเร็จ ยอดขายกองทุนลดหย่อนภาษี (Tax Saving Funds) สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 4,000 ล้านบาท ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำแพลตฟอร์มด้านการลงทุนที่นักลงทุนทั่วประเทศไว้วางใจ ส่งผลยอดมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การดูแลเกือบแตะ 50,000 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
Finnomena Funds สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในปี 2567 ที่ผ่านมาด้วยยอดบริหารสินทรัพย์กองทุนลดหย่อนภาษี (Tax Saving Funds) ทะลุสู่ 4,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.34% เมื่อเทียบกับปีก่อน และจำนวนลูกค้า 25,307 ราย เพิ่มขึ้น 5,258 คน ส่งผลยอดบริหารสินทรัพย์กองทุนลดหย่อนภาษี ทั้งหมดแตะ 10,000 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนความไว้วางใจจากนักลงทุนทั่วประเทศ และตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำแพลตฟอร์มด้านการลงทุน พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็น “Ahead of The Game” ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงโอกาสที่ดีที่สุด พร้อมคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนทั่วประเทศ
โดยในปีที่ผ่านมา มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ (Asset under management (AUM)) สูงถึง 48,395.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.81% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน เนื่องจากฐานผู้ใช้งานเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 93,343 ราย เพิ่มขึ้น 12,062 รายจากปีก่อน โดยที่ผ่านมาทีมงานได้เลือกคัดสรรโอกาสการลงทุนอย่างดี ให้คำแนะนำที่เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้า และร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำอย่าง 21 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)
นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Finnomena Funds กล่าวว่า “ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อแพลตฟอร์ม ร่วมกับการให้คำแนะนำการลงทุนที่นำเสนอให้นักลงทุนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยปีนี้ Finnomena ก้าวเข้าสู่ความสำเร็จสู่ปีที่ 10 เป้าหมายเรายังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้
สำหรับกองทุนลดหย่อนภาษี (TSF) ที่มียอดขายสูงสุด 5 อันดับแรกบน Finnomena Funds ในปี 2567 ประกอบด้วย
1. KKP GB THAI ESG ยอดขาย 970,799,549.4 ล้านบาท
2. KTAG70/30-THAIESG ยอดขาย 89,051,624.6 ล้านบาท
3. K-ESGSI-THAIESG ยอดขาย 70,439,978.0 ล้านบาท
4. ASP-THAIESG ยอดขาย 62,276,497.7 ล้านบาท
5. K-TNZ-THAIESG ยอดขาย 62,156,325.7 ล้านบาท
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort
Definit ในเครือ Finnomena มองตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสทำกำไร แนะเลือกลงทุนเป็นรายตัว พร้อมเปิดตัวบริการ Definit SET Select โชว์ผลการดำเนินงานย้อนหลังของปีที่ผ่านมา ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคมผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ตการลงทุน 13% เทียบกับ SET TRI ที่บวกแค่ 1%
ในงานสัมมนาออนไลน์ หนทางใหม่ สู่โอกาสฟื้นพอร์ตหุ้นไทย ด้วย Definit SET Select เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา นายวศิน ปริธัญ, CFA. Managing Director, Definit Investment Advisory Securities (“Definit”) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (“Finnomena”) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 3.0 % และ 2.8 % ตามลําดับ การอุปโภคและการลงทุนภาครัฐจะขยายตัว 2.1% และ 6.5% มูลค่าการส่งออกสินค้า ขยายตัว 2.6% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ 1.2% โดยการเมืองไทยจะมีความชัดเจน และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง
นอกจากนั้นเศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์จาก China+1 strategy การเติบโตของการท่องเที่ยวซึ่งรัฐบาลคาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน และตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 3.4 ล้านล้านบาทในปีนี้ รัฐบาลเตรียมแผนออกมาตรการกระตุ้นบริโภค การเบิกจ่ายภาครัฐฟื้นตัว ประกอบกับ Valuation ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับเหมาะสมที่ระดับ -0.5 S.D. ในรอบ 10 ปี ส่วนความท้าทายได้แก่ ประมาณการกําไรของตลาดหุ้นยังถูกปรับลงในภาพรวม ขณะที่การเติบโตของกําไรตํ่า และแรงกดดันจากแรงเทขาย LTF ที่ครบกําหนดอายุ
ตอนนี้สภาพนักลงทุนกับตลาดหุ้นไทยอยู่ในอารมณ์ท้อแท้สิ้นหวัง ด้วยภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ไม่เอื้ออำนวยในอดีต แต่หากมีกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นที่ดีและปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาพตลาดได้ ก็ยังสามารถสร้างโอกาสหาผลตอบแทนที่ดีแม้ดัชนีหรือภาพรวมตลาดอาจจะดูไม่เป็นใจ
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
นายวศิน บอกด้วยว่า Definit เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการลงทุน “Definit SET Select” ที่ทำร่วมกับ บล.หยวนต้า ในการให้บริการลงทุนพอร์ตหุ้นแก่นักลงทุน ด้วยกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นไม่เกิน 20 ตัวจาก Definit จาก 3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย การปรับเพิ่มประมาณการกําไรของนักวิเคราะห์ ราคาของหุ้นเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสม และปัจจัยทางเทคนิคด้านโมเมนตัมของราคาหุ้นที่แข็งแกร่ง โดยจากการเปิดให้บริการแนะนำและจัดพอร์ตหุ้นรายตัวครบรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 หากลงทุนตามคำแนะนำ จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 13% เทียบกับดัชนีผลตอบแทนรวม SET (Total Return Index: SET TRI) ที่บวกแค่ 1% และจากการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) 10 ปี (2013-2022) และผลจากการ Live Test 2 ปี (2023-2024) จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 17.1% ต่อปี1
1ผลตอบแทนรายปีคิดจากข้อมูล ณ วันทำการแรกของปีนั้นเทียบกับข้อมูล ณ วันทำการแรกของปีถัดไปเนื่องจาก Definit ได้ออกคำแนะนำช่วงต้นเดือน ผลตอบแทนของ SETTRI ในปี 2024 จึงเท่ากับ +1% | หากนับตามปีฏิปทิน SETTRI +2% ในปี 2024
ทั้งนี้ บริการ Definit SET Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (เลขใบอนุญาต 0105565129248) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (“Finnomena”) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.definitinvestment.com
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต
*ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวณโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวณโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค.-ก.ย. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป (หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป) | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2024 จะคำนวณผลตอบแทนตามเดือนนั้นๆ โดยใช้ราคาปิดของสิ้นเดือนนั้น | ผลตอบแทนรวมเงินปันผล | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปีโดยคิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ
ตอนที่ 1 เข้าใจปัจจัยที่กำหนดสไตล์ของแผนเกษียณ คลิก https://www.finnomena.com/wealthguru/risa/
เรามาต่อกันตอนที่ 2 เลยจะเป็นการเจาะลึกกลุ่มรองปัจจัยกำหนดสไตล์เกษียณ จากรูป
ตัวอย่างเครื่องมือ:
ข้อดี:
ข้อเสีย:
ตัวอย่างเครื่องมือ:
ข้อดี:
ข้อเสีย:
สำหรับผมแล้ว จะเลือก Time-Based, Accumulation , Technical Liquidity และ Back-Load
คุณละจะเลือกแบบใด?
สนใจลงทุน Global Aggressive Hybrid Portfolio สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-hyb
WealthGuru
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
รวมกองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาทุกกองที่มีในตลาด จัดกลุ่มให้เห็นชัด ๆ ทั้งกองทุน Passive ในดัชนี S&P500, Nasdaq, Russell 2000, Dow Jones กองทุน Active สาย Growth และ Value รวมถึงหุ้นสหรัฐฯ ที่เน้นเฉพาะ sector ต่าง ๆ พร้อมสรุปคำแนะนำการลงทุน สำหรับคนที่มองโอกาสในตลาดที่ห้ามมองข้าม Don’t bet against America
– กองทุนหุ้นสหรัฐ ฯ มีเยอะมาก ถ้าไม่รู้จะเลือกยังไงดี คลิกอ่านตรงนี้ก็พอ!
สามารถศึกษารายละเอียดของกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/fund/
กองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ Finnomena Funds แนะนำ “ทยอยสะสม” โดยวิเคราะห์ตามกรอบ MEVT Call ที่เน้นเป้าหมายการลงทุนระยะกลาง-ระยะยาว ได้แก่ AFMOAT-HA ที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง มีปราการทางธุรกิจแข็งแกร่ง เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว โดยมีนโยบายลงทุนผ้่นกองทุนหลัก VanEck Morningstar Wide Moat ETF จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ แบบเน้นเน้นหุ้น Value มองกันยาว ๆ และมีกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ตลาด
– อ่านรีวิวกองทุน AFMOAT-HA: ปราการหุ้นสหรัฐฯ สุดแกร่ง แข็งแรงทุกภาวะตลาด คลิกเลย
นอกจากนี้ หากใครชื่นชอบสไตล์การลงทุนแบบ FundTalk Contrarian Call แนะนำ “ซื้อ” ASP-USSMALL-A ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ เน้นธุรกิจการเงินและอุตสาหกรรม ที่ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Trumponomics และการย่อลงทั้งที่ตัวเลขเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ถือเป็นโอกาสเข้าเก็บสะสมเพิ่ม
– อ่านรีวิวกองทุน ASP-USSMALL-A: หุ้นไซส์เล็กเซ็กซี่ ของดีที่ต้องขุดให้เจอ คลิกเลย
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
ที่มา: บลจ. กสิกรไทย วันที่ได้รับเอกสาร: วันที่ 21 มกราคม 2025
ที่มา: บลจ. กสิกรไทย วันที่ได้รับเอกสาร: วันที่ 21 มกราคม 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน KAsset Global Perspective Portfolio สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน KAsset Global Perspective Portfolio คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด มหาชน หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
คงมีนักลงทุนไม่น้อยที่ “เจ็บปวด” กับ “หุ้นไทย” จากภาพรวมของตลาดที่ไม่ไปไหนมาตลอดทศวรรษ และอาจจะมีเงินจำนวนมากที่ติดอยู่กับหุ้นที่ไม่เติบโตสักที ซึ่งทางออกของปัญหานี้จึงไม่ใช่การทนถือต่อไปเรื่อย ๆ หรือยึดติดแค่กับหุ้นใหญ่ชื่อคุ้นหู
แต่ต้องเฟ้นหาหุ้นคุณภาพสูง พร้อมลงทุนด้วยความยืดหยุ่น (Dynamic) สูง ด้วยกลยุทธ์การลงทุนในรูปพอร์ตหุ้นรายตัวที่ปรับอัตโนมัติตามกลยุทธ์ เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรเหนือตลาดกับ Definit SET Select ร่วมกับ บล. หยวนต้า
Definit SET Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (เลขใบอนุญาต 0105565129248) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (Finnomena) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
Source: Definit, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ as of 30/11/2024
Finnomena ได้อัปเกรดมุมมองหุ้นไทยจาก Slightly Negative เป็น Neutral จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น การเมืองไทยมีความชัดเจน และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว แม้จะยังไม่ใช่การเติบโตอย่างร้อนแรงในภาพรวม
อย่างไรก็ตาม โอกาสอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นรายตัวแบบเข้มข้น และกลยุทธ์การ Trading ที่สามารถเพิ่มโอกาสสร้างกำไรได้โดยไม่พึ่งพิงภาพตลาดโดยรวม ซึ่ง Definit SET Select สามารถตอบโจทย์นี้ได้
DSS คือ กลยุทธ์คัดเลือกหุ้นไทยคุณภาพสูง แบบเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่โดดเด่นเหนือตลาดในระยะยาว ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้านทั้งพื้นฐาน มูลค่า และสัญญาณเทคนิค แล้วนำมาจัดเป็นพอร์ตและบริหารความเสี่ยงให้อัตโนมัติในรูปแบบ Managed Portfolio
คัดเลือกด้วยปัจจัยรอบด้านทั้งพื้นฐานและเทคนิค ลงทุนอย่างเป็นระบบด้วย EVT Framework ซึ่งช่วยลดการใช้อารมณ์ ไม่มีอคติในการลงทุน ผ่านกรอบกลยุทธ์ ดังนี้
Earnings ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
การปรับเพิ่มประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนความหวังของต่อการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต
Valuation มูลค่าไม่แพงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
ราคาของหุ้นเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสม เพราะถึงแม้ว่าพื้นฐานบริษัทจะดี แต่จะทำกำไรได้ต้องมาจากราคาหุ้นที่ยังไม่สะท้อนมูลค่าด้วย
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมของราคาในเชิงบวก
เสริมปัจจัยทางเทคนิคด้วยแนวโน้มราคาที่จะพาหุ้นไปสู่มูลค่าที่แท้จริง ช่วยหลีกเลี่ยง Value Trap ในสถานการณ์ที่หุ้นดูเหมือนจะมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ทั้งนี้ DSS จะคัดเลือกหุ้นไม่เกิน 20 ตัวที่มีปัจจัย EVT ดีที่สุด กำหนดสัดส่วนการลงทุนแบบเท่ากัน (Equal Weight) ที่ 5-20% หากมีหุ้นที่เข้าหลักเกณฑ์การคัดเลือกไม่ครบ จะถือเงินสดเพื่อรอจังหวะเข้าลงทุน
Source: Definit as of 30/11/2024 | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิด (ATC) ของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค.-ธ.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิด (ATC) ของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป (หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป) | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2024 จะคำนวนผลตอบแทนตามเดือนนั้นๆ โดยใช้ราคาปิด (ATC) ของสิ้นเดือนนั้น | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี
จะเห็นว่าผลตอบแทนสะสมจากการ Backtest ของกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้น DSS ระหว่างปี 2013-2022 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 17.7% ต่อปี เหนือกว่า SET TRI ที่ให้ผลตอบแทนที่ 3.4% ต่อปี
ผลตอบแทนย้อนหลังของ DSS นับตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม 2024
Source: Definit as of 30/11/2024 | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่น ๆ | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิด (ATC) ของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค.-ธ.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิด (ATC) ของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิด (ATO) ของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป (หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป) | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2024 จะคำนวนผลตอบแทนตามเดือนนั้นๆ โดยใช้ราคาปิด (ATC) ของสิ้นเดือนนั้น | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี
ในขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลังตามชุดหุ้นแนะนำรายเดือนตั้งแต่เริ่มแนะนำจริง พบว่าตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นของ DSS ชนะ มากกว่า แพ้ และผลตอบแทนรวม Cumulative 12 เดือน ก็สูงถึง 13% มากกว่า SET TRI ที่อยู่ประมาณ 1% เท่านั้น
หมายเหตุ:
ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเบเกอรี่ อาหารรองท้อง และขนมขบเคี้ยว รวมทั้งนำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง
Source: Definit as of 30/11/2024
ราคาหุ้น NSL ปรับตัวขึ้นแรง หลังผู้บริหาร NSL ตั้งเป้ารายได้ปี 2024 เติบโต 19% YoY ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2024 คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าปี 2023 ที่ระดับ 333.48 ล้านบาท โดยรายได้เติบโตจะมาจาก 3 กลุ่มหลัก 1.) กลุ่มการผลิต OEM ให้กับ 7-Eleven 2.) กลุ่ม Food Service ซึ่งขยายธุรกิจอย่างจริงจังมากขึ้น 3.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง
2. หุ้น BA: บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ผู้ประกอบธุรกิจสายการบิน ธุรกิจสนามบิน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสนามบิน ได้แก่ การให้บริการกิจการภาคพื้นดิน การให้บริการอาหารบนเที่ยวบิน และการให้บริการคลังสินค้าระหว่างประเทศ
Source: Definit as of 30/11/2024
สาเหตุที่ราคาหุ้น BA ปรับตัวขึ้นแรง เพราะกำไรไตรมาส 1/24 ฟื้นตัว 114% YoY จากการฟื้นตัวธุรกิจสายการบิน และธุรกิจสนามบิน โดยราคาบัตรโดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 18% และและมีอัตราขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ 88.40%
1. ขาดทุนหุ้นไทย อยากแก้พอร์ต ต้องการทางเลือกอื่น ๆ ที่จะช่วยคัดเลือกหุ้นที่เป็นระบบ ปราศจากอคติ และลดการใช้อารมณ์
2. ไม่มีเวลาเฝ้าติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด ไม่มีเวลาศึกษาบทวิเคราะห์หุ้นหลายตัวพร้อมกัน และไม่อยากพลาดโอกาสที่ดีในการลงทุน
3. ไม่รู้จังหวะซื้อขาย ไม่กล้า Cut Loss หรือ Take Profit ซึ่ง DSS จะคัดเลือกหุ้นและบริหารความเสี่ยงให้อัตโนมัติ
ผู้ที่สนใจลงทุนกับโมเดลพอร์ต Definit SET Select กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทยที่มาในรูปพอร์ตหุ้นรายตัวที่ปรับอัตโนมัติ* สามารถกรอกข้อมูลเบื้องต้น เพื่อรับข้อมูลบริการได้ที่ https://www.definitinvestment.com/contact-form
*Definit SET Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (เลขใบอนุญาต 0105565129248) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (Finnomena) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้
หมายเหตุ: บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
ด้วยความที่สัปดาห์นี้ไม่ได้มีตัวชี้วัดสำคัญออกมา ทำให้เหล่านักลงทุนต้องจับตามองที่ตลาดเป็นหลัก และด้วยการที่ CPI ของสัปดาห์ที่แล้วมีการออกมาและเรียกได้ว่าตรงตามความต้องการของนักลงทุน ทำให้ตลาดมีแรงซื้อกลับ ณ เวลานี้นักลงทุนสามารถเปิดโหมด Risk On กับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ แต่ด้วยการที่ยังมีปัจจัยการพูดของ FED ในปลายเดือน อาจทำให้นักลงทุนต้องเหลือทุนสำรองไว้ในกรณีตลาดปรับตัวลง
Initial Jobless Claims หรือ Unemployment Claims คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนค่าใช้จ่ายของรัฐได้ชัดกว่าอัตราการว่างงาน เพราะยิ่งตัวเลขนี้สูงขึ้นนั่นหมายความว่าค่าใช้จ่ายของภาครัฐ หรือ Government Expenditure ถูกใช้ไปในการช่วยเหลือกลุ่มคนว่างงานมากขึ้น เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะหดตัว และยังแสดงให้เห็นถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำในประเทศอีกด้วย โดยตัวเลขนี้จะมีประกาศทุก ๆ วันพฤหัสบดี
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Unemployment Claims มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 217k เป็น 219k
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/jobless-claims
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของ Unemployment Claims แสดงให้เห็นถึงการที่มีคนมาขอสวัสดิการคนว่างงานใหม่เพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยการเพิ่มขึ้นเพียงนิดเดียวอาจไม่สามารถส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงได้
Flash Manufacturing PMI (Purchasing Managers’ Index) คือดัชนีการจัดการผลิตเบื้องต้น ที่เผยแพร่ก่อนรายงานหลักเพื่อให้สังเกตเห็นแนวโน้มทันทีก่อนการเผยแพร่ของข้อมูลหลักในท้ายเดือน โดยดัชนีที่ใช้วัดระดับของกิจกรรมการผลิตในส่วนการผลิตของประเทศสหรัฐอเมริกา ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นโดย IHS Markit ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในระดับของกิจกรรมการผลิตโดยสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการผลิตในธุรกิจ โดยค่า PMI ที่มากกว่า 50 จะแสดงถึงการขยายของกิจกรรมการผลิต ค่าที่ต่ำกว่า 50 จะแสดงถึงการย่อลงของกิจกรรมการผลิต
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Flash Manufacturing PMI มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 49.4 เป็น 49.6
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/manufacturing-pmi
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การคาดการณ์ในการเพิ่มขึ้นของ Flash Manufacturing PMI แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างช้า ๆ ของภาคการผลิต และสามารถส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ แต่ด้วยการที่ค่าการคาดการณ์ของดัชนีนี้ยังไม่ข้าม 50 ก็อาจแสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตยังไม่เติบโตไปอย่างเต็มที่
Flash Services PMI (Purchasing Managers’ Index) ดัชนีการจัดการบริการเบื้องต้น ที่เผยแพร่ก่อนรายงานหลักเพื่อให้สังเกตเห็นแนวโน้มทันทีก่อนการเผยแพร่ของข้อมูลหลักในท้ายเดือน โดยดัชนีที่ใช้วัดระดับของกิจกรรมในส่วนการบริการของประเทศสหรัฐอเมริกา ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นโดย IHS Markit ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในระดับของกิจกรรมการบริการโดยสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการบริการ โดยค่า PMI ที่มากกว่า 50 จะแสดงถึงการขยายของกิจกรรมการบริการ ค่าที่ต่ำกว่า 50 จะแสดงถึงการย่อลงของกิจกรรมการบริการ
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: Flash Services PMI มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 56.8 เป็น 56.6
Source : https://tradingeconomics.com/united-states/services-pmi
ตีความอย่างไรต่อตลาด
แม้จะมีการคาดการณ์การลดตัวลงของ Flash Services PMI แต่ด้วยการที่ดัชนีนี้ได้มีค่ามากกว่า 50 แสดงให้เห็นถึงภาคการบริการที่แข็งแกร่ง แม้จะมีการลดลงที่แสดงให้เห็นถึงภาคการบริการได้มีการหดตัวลงเล็กน้อย แต่ภาพรวมยังถือว่าภาคการบริการยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจอยู่
Credit from LayerGG
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
20 มกราคม
21 มกราคม
22 มกราคม
23 มกราคม
24 มกราคม
Source : https://www.coinglass.com/FundingRateHeatMap
ในส่วนของ Funding Rate สำหรับอาทิตย์นี้ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ แสดงถึงความ Bullish ของนักลงทุนในตลาด โดยมีการเปิดสถานะลองมากกว่าสถานะชอร์ต โดยที่วันนี้จะเป็นวันที่ ทรัมป์ จะเข้า พิธีสาบานตนรับ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
Source : https://www.coinglass.com/BitcoinOpenInterest
ในฝั่งของ Bitcoin Futures Open Interest มีการทำ All Time High ใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับราคาและข้อมูลอื่น ๆ กล่าวคือ นักลงทุนมีการ Risk-on หรือเปิดสถานะ เนื่องจากตลาดเกิดการ คาดหวัง เนื่องจาก ทรัมป์ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่ง วันจันทร์วันแรก อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพใหญ่ Open Interest ของ Bitcoin ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก
Source : https://farside.co.uk/?p=997
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิ 1,713.5 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นสัปดาห์ที่มี Inflow ค่อนข้างมาก และมีการซื้อเพิ่มของนักลงทุนกลุ่มนี้ในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากมีการ คาดหวังในตัวของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจเป็นแรงผลักดันในตลาดคริปโตส่งผลให้ตลาดลงทุนคาดหวังเกี่ยวกับ Bitcoin reserve ที่อาจจะมีในอนาคต
Source : https://farside.co.uk/?p=1518
ในส่วนของ Ethereum ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสเงินไหลเข้าสุทธิที่ 143.5 ล้านเหรียญ แสดงถึงแนวโน้มเชิงบวกต่อ Ethereum เล็กน้อย ซึ่งเป็นภาพเดียวกันกับ Bitcoin Spot ETF และตลาดคริปโตเคอร์เรนซีโดยรวม ที่ยังอยู๋ในช่วงของการ คาดหวัง และรอปัจจัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ที่มีต่อ นโยบาย คริปโต ที่จะทำให้นักลงทุน Risk-On มากขึ้นกว่าเดิม
โดยที่ผ่านมา ทรัมป์มีท่าที ที่ไม่สนับสนุนต่อบิตคอยน์ โดยเขาเคยบอก บิตคอยน์ว่าเป็นภัยคุกคามต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ล่าสุด ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นมุมมองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในงานประชุม Bitcoin Conference โดยทรัมป์ได้กล่าวถึงแนวคิดการจัดตั้ง “Federal Bitcoin Reserve” ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับบิตคอยน์ให้มีบทบาทในฐานะสินทรัพย์ระดับโลก และจะที่ยืนสำหรับ อุตสาหกรรมในวงการคริปโตเคอเรนซี
โดยชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งส่งผลให้ราคามีมคอยน์พุ่งสูงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่กลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่สนับสนุนคริปโตของทรัมป์ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นในอนาคตของบิตคอยน์
และที่สำคัญ การแต่งตั้งบุคคลสำคัญ เช่น พอล แอทกินส์ (Paul Atkins) ในตำแหน่งประธาน ก.ล.ต. (SEC) ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนการลดกฎระเบียบ ซึ่งสิ่งนี้ จะส่งผลดีต่อบิตคอยน์ด้วยการเพิ่มความชัดเจนให้กับนักลงทุนสถาบัน
ในด้านกระบวนการยุติธรรมหรือ การออกกฎหมาย เช่น คำตัดสินของศาลในสหรัฐฯ ที่ล้มเลิกการคว่ำบาตร Tornado Cash โดยระบุว่าสัญญาอัจฉริยะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ถือเป็น “ทรัพย์สิน” ตามคำจำกัดความของ OFAC นอกจากนี้ นโยบายด้านกฎหมาย เช่น SAB 121 ซึ่งห้ามไม่ให้ธนาคารถือสินทรัพย์คริปโตแบบ off-balance-sheet มีแนวโน้มที่จะถูกยกเลิกภายในไตรมาสเดียว รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบด้าน stable coin ภายใต้ Clarity for Payment Stablecoins Act ของวุฒิสมาชิก Hagerty ที่อาจเปิดโอกาสให้ธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐสามารถออก stable coin ได้โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากธนาคารกลางสหรัฐ
การที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์สนับสนุนคริปโต เปิดโอกาสให้มีการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ ตัวอย่างเช่น สกอตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่า “ทุกอย่างนี้สำหรับบิตคอยน์” นอกจากนี้ สมาชิกคณะรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงหลายคนยังถือคริปโตเคอเรนซี ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรม ทั้งการพัฒนาด้านกฎระเบียบที่สนับสนุน Ethereum และ Solana ETP ในปี 2025 ยังสามารถเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดเงินทุนสถาบันเข้าสู่แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลของทรัมป์อาจออกคำสั่งผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในวันแรกที่ดำรงตำแหน่ง คำสั่งเหล่านี้อาจครอบคลุมถึง
การออกคำสั่งเหล่านี้สะท้อนถึงเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ในการผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำระดับโลกในด้านคริปโตฯ และนวัตกรรมบล็อกเชน เพื่อสร้างสัญญาณที่ชัดเจนให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุน
by Cryptomind Advisory
$BTC ย่อลงมาถึงแนวรับ Trendline ที่ Breakout ออกมาซึ่งหากราคานั้นยังคงยืนอยู่เหนือ $100,000 ได้ก็มีโอกาสที่จะขึ้นต่อไปได้ โดยแนวต้านที่สำคัญจะอยู่ที่บริเวณ $108,000 ทีเป็นบริเวณ All-Time High อย่างไรก็ตามหากวันนี้ราคาย้อนกลับมาอยู่ใต้ $100,000 ก็อาจเป็นสัญญาณ False Break ได้และ BTC อาจมีโอกาส Sideway ออกข้างต่อไปอีกในสัปดาห์ข้างหน้านี้
แนวต้าน : $108,000 | $120,000 | $135,000
แนวรับ : $100,000 | $92,000 | $88,000
$ETH ปัจจุบัน Sideway Down อยู่ในกรอบชุดสะสม Falling Wedge โดยจุดเปลี่ยนสำคัญของราคาหลังจากนี้คือการ Breakout ออกจากกรอบดังกล่าว ในระยะสั้นนั้นหากราคานั้นมีการปรับตัวลดต่ำกว่า $3,100 ราคาก็อาจมีการปรับตัวลงต่อได้ ซึ่งอาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่ราคาจะ Breakout ออกด้านล่างอีกด้วย แต่หากราคาสามารถทรงตัวในกรอบต่อไปได้ ก็เป็นโอกาสที่ ETH จะกลับตัวขึ้นมาเพื่อ Breakout จากกรอบด้านบนต่อไปได้
แนวต้าน : $3,400 | $3,700 | $4,000
แนวรับ : $3,100 | $2,870 | $2,400
by Cryptomind Advisory
Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% ผนวกกับการมาของ Ethereum และ Bitcoin spot ETF / Options และมุมมองเชิงบวกมากๆต่อตลาดคริปโทโดยโดนัล ทรัมป์ และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้และสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังไม่สู้ดีนัก จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 50%
SELECTIVE LARGE MARKET CAP 30%
SELECTIVE SMALL-MID MARKET CAP ALTCOINS 10%
STABLECOINS 10%
Merkle Capital
ที่มา: https://merkle.capital/articles/Merkle-Weekly-Snapshot-20th-25th-January-2025
คำเตือน
สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต | ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล | เนื้อหาข้างต้นเป็นการรวบรวมเนื้อหาโดยใช้ข้อมูลในอดีตอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
เชื่อว่าหลายคนในปีนี้ LTF ที่ลงทุนไปคงครบกำหนดขายแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF ไปทำอะไรต่อดี บทความนี้ขอพาไปดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กัน
ก่อนอื่นขอทวนเงื่อนไขการขาย LTF กันเสียหน่อย หากยังจำกันได้ เราต้องถือครอง LTF ให้ครบ 7 ปีปฏิทินจึงจะขายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดทันที ดังนั้นก่อนขายคืนแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีว่าจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือครบเงื่อนไขนั้นมีกี่หน่วย เพราะหากโดนเรียกคืนภาษีคงไม่คุ้มแหง ๆ แต่ถ้าใครตรวจสอบแน่ใจแล้วก็มาดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กันเลย
ทำงานหนักมาทั้งปี เจอเรื่องเหนื่อย ๆ มาก็เยอะ ให้รางวัลตัวเองด้วยการชอปปิ้ง ซื้อของที่อยากได้สักชิ้น หาร้านอร่อยไปนั่งกิน หรือเดินทางไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง แค่นี้ก็เป็นการชาร์จแบตให้ตัวเองพร้อมสู้ต่อในวันข้างหน้าแล้ว แต่ก็ต้องระวังการใช้เงินเกินตัว เพราะหากใช้เกินตัวจากการให้รางวัลชีวิตจะเป็นการสร้างหนี้สินให้ชีวิตแทนนะ
ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโด ซื้อรถไว้ อาจจะแบ่งเงินที่ได้จากการขาย LTF มาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะเพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย
บางคนยังคงต้องการสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีอยู่ก็สามารถนำมาซื้อกองทุน RMF หรือ Thai ESG เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีต่อได้ ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ RMF หรือ Thai ESG แนะนำดูเงื่อนไขให้ดีกว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต
ตอนที่ลงทุน LTF บางคนอาจจะมีวัตถุประสงค์แค่ต้องการนำไปลดหย่อนภาษีแต่ยังไม่ได้วางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างจริงจัง ก็ให้ถือโอกาสนี้เอาเงินที่ได้จากการขาย LTF เริ่มต้นวางแผนการลงทุนไปเลย เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ
สำหรับคนที่มีพอร์ตการลงทุนอยู่แล้วอาจจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF มาปรับสัดส่วนพอร์ตใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันมากขึ้น กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศบ้าง หรือพอร์ตใครที่มีแต่สินทรัพย์เสี่ยงสูงก็ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำด้วย พอร์ตการลงทุนของเราจะได้มีความสมดุลมากขึ้น
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
ชมรมหุ้นกู้ – รายการที่จะพาผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยถึงข่าวในวงการหุ้นกู้ หุ้นกู้ออกใหม่ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ พร้อมคลินิกหุ้นกู้ ให้นักลงทุนได้สอบถามความเห็นที่เป็นกลางตามหลักสากล และวิธีลงทุนในหุ้นกู้ได้อย่างถูกต้อง!
ติดตามรายการชมรมหุ้นกู้ได้ทุกวันอังคาร เวลา 19.00 น. ที่ Youtube & Facebook Finnomena
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ในโซนบวกอีกครั้ง
ส่วนหนึ่งมาจาก Sentiment เชิงบวกของหุ้นโลก หลังการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นน้อยกว่าคาด อีกปัจจัยคือการรายงาน GDP ไตรมาส 4 ของจีนที่ปรับตัวขึ้น 5.4% YoY สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 5.0%
อีกทั้งยังมีรายงานว่าธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้อัดฉีดสภาพคล่องระยะสั้นมูลค่ากว่า 9.58 แสนล้านหยวน ผ่าน Reverse Repo ระยะ 7 วัน เพื่อช่วยพยุงสภาพคล่องในระบบที่กําลังตึงตัวก่อนวันตรุษจีน
Sentiment หนุนหุ้นจีนอีกเรื่อง คือการที่ Trump ระบุว่าได้หารือกับ Xi Jinping (สี จิ้นผิง) เชื่อมความสัมพันธ์
นอกจากนี้ ในพิธีสาบานตน Trump ก็ยังมีท่าทีประนีประนอม ชะลอการขึ้นภาษีศุลกากรออกไปก่อน โดยจะสั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางไปศึกษานโยบายการค้า และประเมินความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐกับจีน
ทำให้ภาพของการลงทุนในตลาดหุ้นจีน กลับมาอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง ในขณะที่ Valuation หุ้นจีนทั้งหมดตอนนี้ ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบค่าเฉลี่ย 10 ปี
ดังนั้น คงมุมมองการลงทุน Slight Negative สำหรับระยะกลางถึงยาว แต่การเก็งกำไรระยะสั้น FundTalk Call แนะนำกองทุน MEGA10CHINA-A ที่เน้นลงทุนใน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ H-Share คาดดัชนีมีโอกาสรีบาวด์หลังปรับฐานไปกว่า ~20% ลุ้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนตรุษจีน
MEGA10CHINA-A เป็นกองทุนความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) มีนโยบายการลงทุนในหุ้นจีนขนาดใหญ่ 10 บริษัท ที่มีแบรนด์ชั้นนำของประเทศจีนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง กำหนดสัดส่วนการลงทุนแบบเท่ากัน (Equal Weight) โดยมองว่าหุ้นกลุ่มนี้อาจได้รับแรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และแนวทางการดำเนินนโยบายภาษีของ Trump ที่มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป พร้อมหวังว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนตรุษจีน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ขอนำเสนอภาคต่อจากบทความโดยผู้เขียนของ Dow Jones News Service เมื่อครั้งก่อน ว่าด้วยการเปรียบเทียบหุ้นรายตัวที่เป็นคู่ ซึ่งมีสไตล์ดูเหมือนที่แตกต่าง โดยทำในลักษณะที่คล้ายกับเบนจามิน เกรแฮม เขียนไว้ในหนังสือเล่มดัง พร้อมเรียนรู้ข้อคิดที่น่าสนใจสะท้อนแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจากข้อสรุปของการเปรียบเทียบ ดังนี้
ในปี 2015 Valeant เหมือนหุ้นที่ดูมีเรื่องราวว่าจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยนับตั้งแต่ปี 2010 บริษัทได้ทำการซื้อกิจการบริษัทยาอื่น ๆ กว่า 12 แห่ง โดยหลังจากซื้อกิจการแต่ละแห่ง ราคาหุ้นก็เพิ่มสูงขึ้นทันที โดยบางครั้งก็ขึ้นราคายาที่ขายจากตอนที่ขายในบริษัทเดิมก่อนถูกควบรวมไปเป็นเท่า ๆ ตัว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตัวเลขด้านอัตราส่วนทางการเงิน Valeant ไม่ได้มีความแข็งแกร่งทางการเงินแต่อย่างใด โดยต้องอาศัยการกู้ยืมถึงกว่า $3.1 หมื่นล้าน เพื่อทำการซื้อกิจการ โดยแท็คติคที่ใช้ในการสื่อสารตัวเลขทางการเงินต่อสาธารณชนคือการใช้ตัวเลขที่คิดขึ้นเองอย่าง Cash Earnings ซึ่งเป็นมาตรวัดกำไรที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ของบริษัท โดยแทบไม่มีบริษัทใดใช้ตัวเลขในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ หากใช้ตัวเลขทางการเงินแบบปกติ บริษัทมีผลขาดทุนหรือแทบจะไม่สามารถทำให้ผลประกอบการเท่าทุนได้ในเกือบทุกไตรมาสที่ผ่านมา
กระนั้นก็ดี แวดวงตลาดหุ้นมิได้คิดเห็นเป็นเช่นนั้น ราคาหุ้น Valeant เพิ่มขึ้นเกือบ 1,900% นับตั้งแต่ปี 2010 จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2015
ทั้งนี้ นักลงทุนแนว short-seller และ ผู้สื่อข่าวบางสำนัก รายงานว่าบริษัทใช้แนวทางการขายแบบเชิงรุกมากเกินพอดีในสินค้าของบริษัทที่ตนเองเข้าไปซื้อเพื่อให้ตัวเลขรายได้มีขนาดสูงเกินจริง จนสภาคองเกรสได้จัดให้มีการ hearings เพื่อสอบว่ามีการขึ้นราคายาแบบไม่เหมาะสมต่อคนไข้ที่เป็นลูกค้าหรือไม่
ณ สิ้นปี 2017 ราคาหุ้น Valeant (ปัจจุบันชื่อว่า Bausch Health Companies) ได้ลดลง 97% จากจุดสูงสุด ในปี 2020 Valeant จ่ายค่าปรับมูลค่า $45 ล้านต่อกลต. สหรัฐ เพื่อยุติคดีด้าน accounting fraud
ในขณะที่ Valeant มีประเด็นด้านมูลหนี้และมาตรฐานบัญชี Valmont เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านการโค้ตติ้งโลหะ และอุปกรณ์ด้านการชลประทาน โดยกำไรของบริษัทถือได้ว่าไปได้อย่างเรื่อย ๆ มีขึ้นและลงบ้าง ทว่าไม่ได้หวือหวา
โดยกำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่าระหว่างปี 2010-2013 จากนั้น ลดลง 38% ในอีก 3 ปีถัดมา ในปี 2022 กำไรสุทธิของ Valmont ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปี 2013
นับตั้งแต่ปี 2010 ถึงสิ้นปี 2023 ราคาหุ้น Valmont เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.6% ต่อปี น้อยกว่าค่าเฉลี่ย 12.9% ของ S&P500 กระนั้นก็ดี ยังดีกว่าขาดทุนเฉลี่ย 3.5% ต่อปีของหุ้น Valeant
ข้อคิด: เมื่อบริษัทใดที่เติบโตด้วยการซื้อกิจการเพียงอย่างเดียว มักจะจบไม่สวย ดังนั้น ควรจะแยกส่วนสำหรับการวิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียดด้วยความใส่ใจเป็นพิเศษ
แม้ว่าทั้ง 2 บริษัท จะทำธุรกิจเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ทว่า Microsoft เท่านั้น ที่ทำธุรกิจนี้แบบมีโฟกัส ส่วน MicroStrategy เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ที่มีจุดเด่นตรงเป็นบริษัทที่ถือครองบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
โดยจากปี 2012 ถึงปี 2019 รายได้ของ MicroStrategy ลดลง 19% โดยธุรกิจซอฟต์แวร์แนววิเคราะห์ข้อมูลยังมีกำไร ทว่าแบบทรงๆตัว ในปี 2020 ในขณะที่ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด CEO ของบริษัท ไมเคิล แซนเลอร์ เริ่มใช้สำรองเงินสดที่มีอยู่เยอะซื้อสะสมบิตคอยน์
นักเทรดที่เน้นซื้อตามเทรนด์ไม่เพียงแต่ซื้อบิตคอยน์เท่านั้น ยังหันมาสนใจซื้อ MicroStrategy ด้วย ในปี 2020 ราคาหุ้น MicroStrategy พุ่งสูงขึ้น 172%
อย่างไรก็ดี ภายใต้มาตรฐานบัญชีว่าด้วยการรายงานงบการเงินของสหรัฐ บริษัทต้องทำการทบทวนมูลค่าตลาดของบิตคอยน์ที่บริษัทถือครอง ณ ทุกสิ้นไตรมาส โดยต้องลบผลขาดทุนจากการถือบิตคอยน์ออกจากกำไรของบริษัท หากราคาบิตคอยน์ในขณะนั้นต่ำกว่าราคาที่เข้าซื้อ อย่างไรก็ดี หากมูลค่าของบิตคอยน์สูงขึ้น MicroStrategy จะสามารถบันทึกผลกำไรจากการถือครองได้ ก็ต่อเมื่อมีการขายบิตคอยน์เท่านั้น ไม่สามารถบันทึกผลกำไรได้หากยังคงถือครองอยู่
ด้วยเหตุนี้ เนื่องจาก MicroStrategy เข้าซื้อบิตคอยน์ด้วยราคาที่ผันผวนมากในตลาดที่ยังไม่มีเสถียรภาพของราคา จึงทำให้ต้องตั้งสำรอง “digital asset impairment loss” มูลค่า $71 ล้าน, $831 ล้าน และ $1.3 พันล้านในปี 2020, 2021 และ 2022 ตามลำดับ นั่นเป็นเหตุให้อัตราผลตอบแทนของ MicroStrategy มีความแตกต่างจากบิตคอยน์
ณ ปลายปี 2023 MicroStrategy มีมูลค่าการลงทุนบิตคอยน์ $2.5 พันล้าน คิดเป็นกว่า 3 ใน 4 ของสินทรัพย์รวมที่ $3.4 พันล้าน ซึ่งดูจะเหมือนกับเป็นเฮดจ์ฟันด์มากกว่าบริษัทคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ ใน 15 วันทำการแรกของปี 2024 ราคาหุ้น MicroStrategy ลดลง 29% จากข่าวหน่วยงานกำกับตลาดทุนที่ทำการอนุมัติให้ออกตราสาร ETF ที่ถือครองบิตคอยน์โดยตรงในตลาดหุ้น เนื่องจากมีการแข่งขันที่สูงขึ้นของการลงทุนผ่านเงินสกุลดิจิทัล
ในอีกฟากตรงข้ามของผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการของ Linkedin ด้วยมูลค่า $2.6 หมื่นล้าน ซื้อกิจการผู้ผลิตวิดีโอเกม Activision Blizzard ด้วยมูลค่า $6.9 หมื่นล้าน และ ลงทุนใน OpenAI ด้วยมูลค่า $1 หมื่นล้าน ทั้งนี้ ธุรกิจหลักยังโฟกัสไปที่จุดแข็งของบริษัทคือ ซอฟต์แวร์
ด้วยการใช้มาตรฐานบัญชีแบบอนุรักษ์นิยมและมีเงินสดสำรอง $1.44 แสนล้าน ทำให้ MicroSoft เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีความเสถียรมากที่สุดในบรรดายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จึงส่งผลให้ราคาหุ้นสามารถเอาชนะอัตราผลตอบแทนของ S&P500 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเหมือนกับว่า Microsoft จะสามารถไม่เดินเข้าสู่จุดตกต่ำเมื่อบริษัทโดยทั่วไปที่ทำธุรกิจมาแล้วเป็นระยะเวลานาน ๆ
ข้อคิด: หากคุณต้องการลงทุนในธุรกิจของบริษัท ให้ไปซื้อหุ้นของบริษัทนั้น ในขณะที่หากต้องการถือครองบิตคอยน์ ให้ซื้อเงินสกุลดิจิทัลโดยตรง อย่าได้ไปซื้อบริษัทที่ถือครองบิตคอยน์
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP
MacroView, macroviewblog.com
ตอนที่ 1 เข้าใจปัจจัยที่กำหนดสไตล์ของแผนเกษียณ
เนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ความสำคัญของการที่ผู้เกษียณต้องมั่นใจว่าตนเองมีรายได้ หรือกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณที่อาจยาวนานถึง 30 ปี (หรือมากกว่านั้น) ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนใหญ่จะมี “แนวทางที่ชื่นชอบ” ในการแนะนำวิธีการจัดหาแหล่งรายได้นี้ให้แก่ลูกค้า ด้วยความสำคัญของประเด็นนี้ การที่ผู้เกษียณสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนากลยุทธ์รายได้ที่เหมาะสมสำหรับอนาคตของตนเอง อาจช่วยลดความกังวลได้มากกว่าใช่ไหม?
Style Factors to Determine a Retirees Income Preference
ปัจจัยที่กำหนดสไตล์ชองแผนเกษียณ
Probability vs. Safety-First (PS)
ความน่าจะเป็น (Probability) vs ความปลอดภัยเป็นอันดับแรก (Safety-First) (PS)
ผู้เกษียณที่มีสไตล์รายได้แบบ “ความน่าจะเป็น” (Probability) มักยอมรับที่จะพึ่งพาแหล่งรายได้ที่ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการเติบโตของตลาด เชื่อและยอมรับความเสี่ยงได้ จึงถือได้ว่าเป็นวิธีการที่เน้น “ความน่าจะเป็น” ในการสร้างรายได้เพื่อการเกษียณ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถึงแม้ผลตอบแทนจากตลาดจะไม่แน่นอน แต่ผู้เกษียณบางคนก็ยอมรับความเสี่ยงในเชิงความน่าจะเป็นได้
ในทางกลับกัน ผู้เกษียณที่ชอบแหล่งรายได้แบบ “ความปลอดภัยเป็นอันดับแรก” (Safety-First) ต้องสัญญาชัดเจนเพื่อให้ความปลอดภัยในพอร์ตของตน แหล่งรายได้จากวิธีนี้จะมีความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของตลาดน้อยกว่า วิธีการนี้อาจรวมถึงแหล่งรายได้ที่ได้รับการปกป้อง เช่น เงินบำนาญแบบกำหนดผลประโยชน์ (Defined-Benefit Pensions) เงินรายปี (Annuities) ที่มีการป้องกันรายได้ตลอดชีวิต
วิธีการแบบ Safety-First ยอมรับที่จะสละโอกาสในการเติบโตของรายได้จากตลาดเพื่อความมั่นใจและความปลอดภัยที่ได้รับจากการรับจากการลงทุน
ความยืดหยุ่น (Optionality) เทียบกับ ความมุ่งมั่น (Commitment) (OC)
ความยืดหยุ่น (Optionality) สะท้อนถึงความต้องการของผู้เกษียณที่จะรักษาทางเลือกให้เปิดกว้าง และความต้องการมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหรือสถานการณ์ส่วนตัว วิธีการนี้เหมาะสมกับแผนเกษียณที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายและไม่มีระยะเวลาการถือครองที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ในทางตรงกันข้าม ความมุ่งมั่น (Commitment) แสดงถึงความชอบของผู้เกษียณที่จะยึดติดกับทางเลือกเดียว ผู้เกษียณที่มีแนวโน้มนี้ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้อง “เก็บตัวเลือกไว้” และพร้อมที่จะเลือกวิธีแก้ปัญหารายได้เกษียณที่เฉพาะเจาะจง
ต่อไปเป็นความคิดส่วนตัว
จากประสบการณ์ของผม ผมว่าคนที่ลงทุนอยู่เสมอเป็นเวลายาวนาน อาจจะเป็นกลุ่ม Probability และยิ่งถ้าลงทุนแบบประสบความสำเร็จก็จะเป็นแบบ Probability และ Commitment
ส่วนคนที่ลงทุนแต่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จมากก็อาจจะเป็นแบบ Probability และ Optionality แต่ถ้ายิ่งไม่เคยลงทุนเลย กล้วความเสี่ยง หรือลงทุนไม่ประสบสำเร็จ เจ็บตัว ก็อาจจะมักเป็นกลุ่ม Safety-First ยิ่งกลัวความเสี่ยงมาก ยิ่งเป็นกลุ่ม Safety-First และ Commitment ส่วนตัวคิดว่ากลุ่มแบบ Safety-First และ Optionality น่าจะมีสัดส่วนน้อยที่สุด
คุณละเป็นแบบใด?
สนใจลงทุน Global Aggressive Hybrid Portfolio สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-hyb
WealthGuru
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
หลังเกษียณ คนมักจะกลัวความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
มีคำกล่าวจาก Aaron Petersen ที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า “ความกลัวทางอารมณ์จากภาวะตลาดตกต่ำส่งผลกระทบต่อทุกคน”
Kate Beattie ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ กล่าวว่า “นักลงทุนที่มองสินทรัพย์ของตนเป็นเหมือนถังต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะ เช่น ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายตามอัธยาศัย เหตุฉุกเฉินที่ไม่ได้วางแผนไว้ และมรดก จะมีกรอบความคิดที่ดีกว่าในการจัดการการวางแผนเกษียณอายุโดยไม่ต้องกลัว”
โดยกลยุทธ์แบบ “กลยุทธ์ถัง” (bucket strategy) ซึ่งแบ่งเงินออมออกเป็นส่วน ๆ ตามระยะเวลาการใช้งาน จุดสำคัญคือการสร้าง “ความมั่นใจ” ให้ผู้เกษียณอายุโดยการแยกเงินสดไว้ใช้จ่ายในช่วงแรก ๆ
เพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาด วิธีการนี้ดัดแปลงได้ตามความต้องการ โดยอาจแบ่งเป็น 2 ถังขึ้นไป แต่ละถังอาจหมายถึงระยะเวลา หรือวัตถุประสงค์ในการใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายประจำวัน การดูแลสุขภาพ หรือการบริจาค หลักการคือการจัดการความเสี่ยงและจิตวิทยาการลงทุน โดยอาศัยการแบ่งเงินเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนและลดความวิตกกังวล
ตัวอย่างกลยุทธ์การเบิกเงินโดยใช้ห้าถังในช่วงระยะเวลา 25 ปี
Figure 1 จาก capitalgroup.com
ตัวอย่างการถอนแบบ 3 ตะกร้า
ตะกร้าที่ 1: ลงทุน เงินฝาก ตราสารหนี้ และตราสารเงิน
ตะกร้าที่ 2: 10 ปีแรกลงทุนความเสี่ยงต่ำผลตอบแทน 4% หลังจากนั้น อีก 10 ปีลงทุนเหมือนตระกร้าที่ 1
ตะกร้าที่ 3 : 15 ปีแรกลงทุนความเสี่ยงกลางผลตอบแทน 6% หลังจากนั้น อีก 10 ปีลงทุนเหมือนตระกร้าที่ 1
กลยุทธ์แบบ Pyramid สำหรับลูกค้าสินทรัพย์สูง
เนื่องจากลูกค้าสินทรัพย์มีเงินจำนวนมากกว่าคนปกติทั่วไป มีทางเลือกในการลงทุนมากกว่า
กลยุทธ์ “Pyramid” เหมาะสำหรับ ลูกค้าที่มีสินทรัพย์สุทธิสูง (HNW) กลุ่มลูกค้าประเภทนี้มักมี ความต้องการที่ซับซ้อน และต้องการ บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์ Pyramid ช่วยตอบโจทย์เหล่านี้ด้วยการแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วนหลัก:
1. Base ฐาน: ส่วนนี้เน้นการรักษาเงินต้น
มักประกอบด้วยเงินสด พันธบัตรระยะสั้น หรือประกันภัย
เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด แนะนำให้กันเงิน 1-2 ปีของค่าใช้จ่ายไว้ในส่วนนี้
2. แกนกลาง: ส่วนนี้เป็นเงินลงทุนระยะยาว
มีเป้าหมายในการสร้างการเติบโตของเงินทุน ประกอบด้วยหุ้น พันธบัตร และสินทรัพย์ทางเลือก
3. ส่วนเกิน: ส่วนนี้สำหรับเป้าหมายอื่นๆ เช่น การบริจาค หรือการส่งต่อมรดก
หุ้นบริษัทส่วนตัว, hedge fund หรือกลยุทธ์ Pyramid ช่วยให้ลูกค้า HNW มองเห็นภาพรวมของการจัดสรรการลงทุน และช่วยให้ที่ปรึกษาทางการเงินสามารถ หารือเกี่ยวกับการจัดสรรความเสี่ยงได้อย่างตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น หากลูกค้ายังไม่มีแกนกลางที่มั่นคง ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
นอกจากนี้ ลูกค้า HNW มักมี ทางเลือกในการสร้างกระแสเงินสด นอกเหนือจากพอร์ตการลงทุน เช่น การใช้รายได้จากอสังหาริมทรัพย์
โดยสรุป กลยุทธ์ Pyramid ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า HNW ในการจัดการเงินทุน บริหารความเสี่ยง และวางแผนเป้าหมายทางการเงินระยะยาว
ข้อดีของการใช้กลยุทธ์แบบ Bucket และ Pyramid
การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
อ้างจากบทความ Retirement Planning The bucket approach to retirement income
Kate Beattie and Aaron Petersen
สนใจลงทุน Global Aggressive Hybrid Portfolio สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://port.finnomena.com/plan-select/plans/guruport-hyb
WealthGuru
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Finnomena Funds มองเป็นจังหวะและโอกาสในการลงทุน เมื่อตลาดฟื้นยืนบวก หลังตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่าที่คาด หนุนหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา S&P 500 ปรับตัวขึ้น 2.93% WoW หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยและตํ่ากว่าที่ตลาดคาด เช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรป และหุ้นจีน H-Share ที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่น 2.37% WoW และ 4.84% WoW ตามลำดับ
สะท้อนว่าโมเมนตัมของตลาดกำลังกลับมาเป็น Bullish อีกครั้ง ซึ่งมี Upside จาก Bond Yield และ Dollar ที่สูงเกินไป พร้อมกับการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ออกมาแล้วกว่า 20% ส่วนใหญ่ก็ยังดีกว่าคาด โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารที่เป็นตัวชี้นำภาพของเศรษฐกิจในประเทศ
แต่สิ่งที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้อยู่ที่การทำพิธีสาบานตนรับตําแหน่งประธานาธิบดีขอว Donald Trump ว่าจะมีท่าทีต่อประเด็นต่าง ๆ เช่นไร อาทิ การดําเนินนโยบายการต่างประเทศ, นโยบายภายในประเทศ, นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ, ความสัมพันธ์กับทางการจีน โดยเฉพาะนโยบายเรื่องภาษีและการกีดกันการค้า
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
โดย Jet – The Contrarian คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่หาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) TISCOAI (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี เน้นลงทุนในบริษัทที่จดสิทธิบัตรด้าน AI and Big Data โดยครอบคลุมธีม AI กลางน้ำและปลายน้ำ ทำให้จะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการที่โลกพัฒนาเข้าสู่ยุค Agentic AI ซึ่งสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจแทนมนุษย์ได้โดยอัตโนมัติ
2.) ASP-USSMALL-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นขาดกลาง-เล็กในสหรัฐฯ เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ธุรกิจการเงินและอุตสาหกรรม จึงได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ Trumponomics ที่เตรียมลดภาษีนิติบุคคล หนุนบริษัทในประเทศ อีกทั้งการย่อลงมาแรงถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสม
3.) MEGA10CHINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นจีน โดยจะลงทุนใน 10 หุ้นจีนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยมองเป็นจังหวะเก็งกำไร เพราะเชื่อว่านโยบาย Trump จะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับมีแนวโน้มที่รัฐบาลจีนเตรียมจะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนตรุษจีน
โดย Bank – The Trend Follower คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติเพื่อนำมาคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้หาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) MEGA10AI-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี AI ที่จะลงทุนใน 10 หุ้นขนาดใหญ่ เพื่อรับโอกาสเติบโตเต็มที่ตามรอบของการประกาศงบหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะออกมาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
2.) ASP-DIGIBLOC (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ยังมีแนวโน้มทะยานต่อได้จากนโยบายสนับสนุนของ Trump ที่เตรียมนำคริปโตมาเป็นเงินทุนสำรอง นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมีการกระจายลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัล
3.) SCBSEMI(A) (ความเสี่ยงระดับ 7)
กองทุนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เน้นลงทุนในหุ้น AI ต้นน้ำ รวมถึงเป็นธีม Growth Stock ที่มีโอกาสทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่ หากการประกาศผลประกอบการในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ของหุ้นเทคโนโลยีเซมิตอนดักเตอร์ออกมายอดเยี่ยม โดยเฉพาะหุ้นผู้นำอย่าง Nvidia
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical ปัจจัยอื่น ๆ เช่น Fund Flow, Sentiment, Seasonal Statistic และ Technical Analysis
1.) AFMOAT-HA (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาที่มีป้อมปราการทางธุรกิจ (MOAT) ด้วยการ Selective Buy เน้นหุ้น Valuation ไม่แพง เป็นกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก และมีความแข็งแกร่งในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีจุดเด่นที่การกระจายลงทุนแบบ Equal Weight
2.) B-INNOTECH (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี เน้นคัดเลือกหุ้น Value Play โดยการเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาไม่แพง ขณะเดียวกันปัจจัยเชิงพื้นฐานเฉพาะตัวยังคงดี เพราะประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือว่าเติบโตในระดับสูง เช่น TSMC ซึ่งเป็นหุ้นชิบ AI ตัวหลักที่กองทุนชื่นชอบ
3.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนาม เป็นตลาดที่ถูกและดี ประกอบกับการมาของ Trump เร่งให้เกิด China+1 ในการย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนเร็วขึ้น ซึ่งเวียดนามคือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ รวมทั้งยังมีปัจจัยหนุนอื่น ๆ เช่น ความคืบหน้าเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปี 2025 และการถูกปรับประมาณกำไรเพิ่มเติม
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ส่วนใหญ่แล้ว คำตอบก็คือ ไม่มีอะไร! บริษัทยังดำเนินการตามปกติ ผลประกอบการก็ปกติ บางทีจะบอกว่าดีขึ้นด้วยซ้ำ เหตุการณ์หุ้นตกส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการขายหุ้นที่อาจจะถูกบังคับขายหรือ Force Sale โดยสถาบันการเงินที่รับจำนำหุ้นไว้จำนวนมากที่ต้องการเงินคืนและคนจำนำ ซึ่งบางครั้งก็คือผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัท ไม่มีเงินสดที่จะไปใช้คืนเงินที่กู้มามากมาย
และเงินที่กู้มาก็เพื่อที่จะไป “ไล่” ซื้อหุ้นจำนวนมากจนทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นสูงลิ่ว ซึ่งก็เป็นกระบวนการที่เรียกว่าการ “Corner หุ้น” ซึ่งทำให้หุ้นมีราคาหรือมูลค่าสูงเกินความเป็นจริงไปมาก และทำให้คนทำมีความมั่งคั่งสูงเกินความเป็นจริงไปมาก และก็เป็นอยู่อย่างนั้นมา บางทีหลายปี
มองในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็อาจจะอธิบายได้ว่า ราคาหุ้นปกตินั้นถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อหุ้นและปริมาณหุ้นที่คนต้องการขายที่เรียกว่า “หุ้น Free Float” ซึ่งโดยปกติแล้ว ราคาของหุ้นก็จะอยู่ที่การประเมินหรือคาดการณ์ตามพื้นฐานของกิจการเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกำไรของบริษัทและมุมมองในอนาคตว่าจะเติบโตไปแค่ไหนอย่างไร
พูดง่าย ๆ ราคาหุ้นปกติจะขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อของคนที่ลงทุนที่เน้นพื้นฐานของกิจการ และ เช่นเดียวกับคนที่ต้องการขายหุ้นที่ประเมินมูลค่าพื้นฐานเช่นเดียวกัน เมื่อคนสองฝ่ายเจอกันในปริมาณหุ้นที่เท่ากัน ราคาจึงตกลงกันและเกิดเป็น “ราคาตลาด” ที่เหมาะสม เช่น ถ้าเป็นสถาบันการเงินระดับปานกลาง ค่า PE ก็ควรจะประมาณไม่เกิน 10 เท่า ที่โดดเด่นหน่อย อาจจะมีค่า PE “ถึง 12-13 เท่า” เป็นต้น
วันหนึ่ง หลายปีมาแล้ว ในตลาดหุ้นไทย อาจจะมีคนค้นพบว่า วิธีที่จะทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นได้ก็คือการเปลี่ยนหรือ “ชุบตัว” ให้คนมองภาพของบริษัทหรือหุ้นเปลี่ยนไปจากธรรมชาติที่แท้จริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การสร้างเรื่องราวหรือ Story ให้กับบริษัท จากบริษัทธรรมดาหรือเก่งในระดับหนึ่งให้กลายเป็นบริษัทที่เก่งหรือโดดเด่น บางที “ระดับโลก” หรือจากบริษัทที่โตเท่า ๆ หรือดีกว่า GDP เล็กน้อย ให้กลายเป็นหุ้นโตเร็วมากแบบ “Super Growth” โตปีละ 30-40% เป็นต้น
แต่ลำพังการสร้างเรื่องนั้น มักจะไม่พอที่จะทำให้หุ้นขึ้นไปได้ไกลมากหรือเร็วมาก จำเป็นต้องมี “ความต้องการจริงของนักลงทุน” ที่ “ซื้อสตอรี่” นั้น ดังนั้น “ความต้องการเทียม” จึงเกิดขึ้น อาจจะโดยผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัท หรือบางทีก็เป็นคนนอกที่มองเห็นโอกาสที่จะทำคอร์เนอร์ได้สำเร็จ แต่ในความเป็นจริงก็คือ มักจะเป็นการร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายมากกว่า เพราะการร่วมมือจะทำให้เกิดพลังและโอกาสสำเร็จสูงขึ้นมาก
ความต้องการเทียมก็คือ การกวาดซื้อหุ้นทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่ได้มีความต้องการซื้อขนาดนั้นและ/หรือในราคาระดับนั้น ว่าที่จริง ในกรณีที่เป็นเจ้าของบริษัทอยู่แล้ว จะซื้อหรือเอาหุ้นมากขนาดนั้นไปทำอะไร? และที่เอาหุ้นเข้าตลาดนั้นก็ตั้งใจจะขายลดปริมาณหุ้นของตนให้นักลงทุนคนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้น การซื้อหุ้นคืนจึงไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากเพื่อที่จะทำให้หุ้นขึ้นมาแรงและสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองและเพื่อที่จะขายออกไปในภายหลัง
Demand หรือความต้องการเทียม ไม่ว่าจะมาจากเจ้าของหรือนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาซื้อหุ้น ทำให้ราคาหุ้น “สูงลิ่ว” ผิดธรรมชาติมาก หุ้นจำนวนมากที่เกิดจากการทำคอร์เนอร์มีค่า PE สูงกว่าค่า PE ปกติบางทีหลายเท่า ทั้ง ๆ ที่คุณสมบัติหรือความสามารถในการแข่งขันไม่ได้เหนือกว่าหุ้นอื่น ๆ เลย อาจจะมีบ้างที่อาจจะ “โตเร็วกว่า” ซึ่งก็สามารถทำให้คนหลงเชื่อได้ว่าเป็นบริษัทที่ “ดีกว่า” อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องของการ “สร้างการเติบโต” แต่เป็นการเติบโตที่ไม่มีคุณภาพ อาจจะโดยการซื้อกิจการหรือขยายไปทำกิจการที่มีความเสี่ยงสูงและอาจจะล้มเหลวในภายหลัง
เวลาผ่านไปหลายปี หุ้นที่ถูกคอร์เนอร์จำนวนไม่น้อยทยอย “คอร์เนอร์แตก” ราคาหุ้นล่มสลาย อย่างไรก็ตาม ยังมีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่ในคอร์เนอร์ได้แม้ว่าราคาจะทยอยลดลงเรื่อย ๆ แต่ค่า PE ก็ยังสูงกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนหนึ่งก็เพราะกำไรของบริษัทไม่เพิ่มขึ้น บางแห่งกลับลดลง และนั่นสร้างความกังวลให้กับคนที่ยังถือหุ้นอยู่และทำให้เขาอยากขาย โดยเฉพาะในยามที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาและตลาดหุ้นซึมและตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ
ถึงตอนนี้ดูเหมือนว่า แม้แต่หุ้นที่มีศักยภาพ และช่วงหนึ่งแทบจะเป็น “หุ้นแห่งอนาคต” ก็ไม่สามารถชักจูงให้คนเชื่อว่าพื้นฐานของกิจการสามารถรองรับ “ราคาหุ้นในคอร์เนอร์” ที่อยู่มานานได้ ความต้องการเทียมที่เข้าไปซื้อหุ้นในช่วงการทำคอร์เนอร์กำลังถูกดึงกลับโดยสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้ไปทำคอร์เนอร์ และนั่นทำให้ราคาหุ้นควรจะกลับไปสู่พื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท
และพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทมักจะต้องเกิดจากนักลงทุนจำนวนมากที่วิเคราะห์หุ้นและประเมินราคาที่ตนเองต้องการซื้อหรือขายเพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาวที่เหมาะสม ไม่ใช่เกิดจากความเห็นหรือความต้องการซื้อหรือขายของคนเพียงไม่กี่คนที่ใช้เม็ดเงินก้อนใหญ่เข้าไปซื้อ-ขายในหุ้น Free Float ที่มีจำนวนน้อย ซึ่งทำให้สามารถชี้นำราคาได้อย่างแทบจะไม่จำกัด
คำถามสำคัญมากก็คือ หุ้นที่ “คอร์เนอร์แตก” ราคาตกลงมาหนักมาก บ่อยครั้งเกิน 50% และบางตัวถึง 80% นั้น เราควรเข้าไปซื้อลงทุนหรือไม่? เหนือสิ่งอื่นใด บางบริษัทก็บอกว่าบริษัทไม่ได้มีปัญหาอะไรและยังดีอยู่ “ตามปกติ” ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ดังนั้น นั่นหมายถึงว่าราคาหุ้นควรกลับไปที่เดิมก่อนคอร์เนอร์แตกหรือไม่?
คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ การที่จะหวังว่าราคาจะกลับไปที่เดิมได้นั้น ผมคิดว่ามีโอกาสน้อยมาก เนื่องจากหุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์นั้น มี Demand หรือความต้องการถือหุ้นเทียมอยู่ไม่มากก็น้อย ถ้าความต้องการนั้นลดลง คือมีการขายหุ้นออกไปโดยเฉพาะที่ถูก Force Sale ราคาหุ้นก็ต้องตกลงมาค่อนข้างแน่ เราต้องเลิกคิดถึงราคาเก่าไปอย่างสิ้นเชิง
ราคาใหม่ที่หุ้นตกลงมาและเราอาจจะเข้าไปลงทุนได้นั้น ต้องเป็นราคาที่เหมาะสมตามพื้นฐานของธุรกิจ และตัวที่ใช้มากที่สุดก็คือ กำไรและค่า PE ของหุ้นตัวนั้น และนั่นก็กลับมาสู่วิธีวิเคราะห์การลงทุนแบบ VI พันธุ์แท้ดั้งเดิมที่เน้นว่า ราคาหุ้นต้องไม่แพง และการวิเคราะห์ต้องไม่ลำเอียง อย่าตื่นเต้นกับสตอรี่ที่คนสร้างขึ้นเพื่อ “หลอกกินเงิน” เรา เช่นบอกว่าบริษัทนั้นมีผลิตภัณฑ์โดดเด่นเก่งกว่าคู่แข่ง ตลาดเติบโตมหาศาล บริษัทมีกำไรเหนือคู่แข่งเพราะเหตุผลต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนั้น ก็ไม่ต้องเชื่อ “เซียนหุ้น” ที่ถือหุ้นจำนวนมากและนักวิเคราะห์ที่ส่วนใหญ่ก็ฟัง “สิ่งดี ๆ” มาจากผู้บริหารเป็นหลัก
หุ้นคอร์เนอร์แตกบางตัวอาจจะตกลงมา 50% แล้ว แต่เนื่องจากค่า PE ก่อนแตกอยู่ที่ 50 เท่า ดังนั้น PE ใหม่ก็ยังคงสูงถึง 25 เท่า แต่ธุรกิจที่บริษัททำนั้น เป็นอะไรที่มีคนทำกันมาก คู่แข่งสูงมากและบริษัทก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นหรือได้เปรียบคนอื่น ธุรกิจลักษณะนี้เราหาหุ้นที่มีค่า PE 10 เท่า แถมให้ปันผลปีละ 4-5% ได้ไม่ยาก ถ้านึกหุ้นตัวไหนไม่ออกก็ซื้อหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ก็ได้ ดังนั้น การที่หุ้นตกลงมา 50% จึงไม่ใช่เหตุผลที่ควรจะซื้อ ตรงกันข้าม ถ้าถืออยู่ก็ควรจะขาย
หุ้นคอร์เนอร์แตกบางตัว ซึ่งอาจจะเป็นส่วนมากของหุ้นที่หุ้นตกถล่มทลายด้วยซ้ำนั้น มีปัญหาที่ตัวบริษัทด้วย บางบริษัทก็ชัดเจนตั้งแต่แรก เพราะเหตุผลที่หุ้นตกนั้นเป็นเพราะบริษัทเจ๊งไม่สามารถชำระหนี้ได้ หรือบริษัทมีการฉ้อฉลที่ถูกจับได้ หรือผลประกอบที่ออกมาขาดทุนหนักมาก เป็นต้น ทั้งหมดนั้นมักทำให้หุ้นตกในระดับหายนะและต้องใช้เวลาฟื้นฟูยาวมาก การเข้าไปซื้อหุ้นเป็นความเสี่ยงที่ประเมินได้ยากมาก ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย
โดยสรุปก็คือ โอกาสที่จะพบกับหุ้นคอร์เนอร์แตกที่ราคาลงมาจนถึงจุดที่จะเข้าซื้อเพื่อลงทุนแบบ VI ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะยากพอสมควร เหตุผลก็คือ หุ้นส่วนใหญ่ที่อยู่ในคอร์เนอร์ของตลาดหุ้นไทยนั้น มีราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงมาก หุ้นจำนวนมากราคาขึ้นไปหลาย ๆ เท่าในเวลาเพียงไม่กี่ปี และทำให้ค่า PE สูงสุดสู่ระดับเดียวกับ “หุ้น 7 นางฟ้า” ของสหรัฐ ดังนั้น เวลา “แตก” ลงมา คนก็อยากเข้าไปช้อนซื้อ เพราะคิดว่าลงมามากเกินไป ซึ่งทำให้ค่า PE ลงมาไม่ถึงจุดที่น่าสนใจลงทุนซักที
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ประกันสังคม ไม่ใช่แค่เพียงสวัสดิการที่รัฐมอบให้แก่ผู้ทำงาน แต่ยังเป็นเสมือนเงินออมระยะยาวที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การรู้จักและเข้าใจการบริหารจัดการเงินกองทุนประกันสังคมจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรใส่ใจ โดยเฉพาะการลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับกองทุนนี้
กองทุนประกันสังคมถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการสร้างหลักประกันและความมั่นคงในชีวิตให้แก่ลูกจ้างในประเทศ ครอบคลุมสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป โดยทั้งนายจ้างและลูกจ้างมีส่วนร่วมในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนในสัดส่วนที่เท่ากัน
ซึ่งเงินสมทบที่ได้มาจะถูกนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนและจ่ายเป็นผลประโยชน์ทดแทนหรือให้ความคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาลและมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เงินลงทุนของกองทุนประกันสังคม มีมูลค่าทั้งสิ้น 2,586,369 ล้านบาท โดยลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงเพื่อความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาว รวมทั้งพิจารณาลงทุนใน หลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน ดังภาพต่อไปนี้
ความโดดเด่นของการบริหารกองทุนคือการให้ความสำคัญกับความมั่นคงของการลงทุน โดยมีการจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ถึง 70.69% หรือประมาณ 1.82 ล้านล้านบาท ไปยังหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ขณะที่อีก 29.31% หรือประมาณ 7.58 แสนล้านบาท ถูกจัดสรรไปยังหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการลงทุนในประเทศ มูลค่า 1,805,939 ล้านบาท คิดเป็น 69.83% และต่างประเทศ มูลค่า 780,430 ล้านบาท คิดเป็น 30.17% สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ณ วันที่ 30 กันยายน 2024
หนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจของกองทุนประกันสังคมคือการเลือกลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำของไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในวงกว้าง นอกจากนี้ยังกระจายการลงทุนครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน, ปิโตรเคมี, ค้าปลีก, สุขภาพ และโทรคมนาคม โดยมีตัวอย่างหุ้นที่โดดเด่นดังนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2024)
PTT บริษัทน้ำมันและปิโตรเคมีรายใหญ่ของไทย มีธุรกิจที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ
SCC ผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
CPALL ผู้ประกอบการค้าปลีกชั้นนำของไทย เป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อ ‘เซเว่น อีเลฟเว่น’
BDMS ผู้ให้บริการด้านสุขภาพเอกชนรายใหญ่ในประเทศไทย เจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
ADVANC ผู้ให้บริการ AIS เครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ของไทย
AOT บริษัทผู้ดำเนินการท่าอากาศยานนานาชาติหลักของประเทศไทย
หุ้นเหล่านี้ล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการดีและมั่นคง ทำให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนสถาบันรายใหญ่อย่างประกันสังคม และที่สำคัญคือบริษัทเหล่านี้ยังคงมีโอกาสเติบโตในอนาคต ทำให้มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
นอกจากนี้ การกระจายการลงทุนไปในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งพลังงาน ปิโตรเคมี ค้าปลีก การแพทย์ และโทรคมนาคม ยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ
การบริหารกองทุนยังอยู่ภายใต้กรอบระเบียบที่เข้มงวด โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการประกันสังคมว่าด้วยการจัดหาผลประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม พ.ศ. 2559 ที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนอย่างชัดเจน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงและผลตอบแทน
สุดท้ายนี้จะเห็นได้ว่ากองทุนประกันสังคมไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการดูแลสวัสดิการของแรงงานไทยเท่านั้น แต่ยังมีการบริหารจัดการการลงทุนอย่างมืออาชีพ มีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม และมีการลงทุนในธุรกิจชั้นนำที่มีความมั่นคง สะท้อนถึงความรับผิดชอบในการดูแลเงินออมของสมาชิกกองทุนอย่างดีที่สุด
อ้างอิงจาก: สำนักงานประกันสังคม
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.finspace.co/social-security-portfolio/