ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงระนาว เมื่อคืนวานนี้ (10 มีนาคม 2025) โดยดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 2.7% ขณะที่ Nasdaq ลบไปถึง 3.8% จากความกลัวเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession Fear) ที่กลับมาหลอกหลอนนักลงทุนอีกครั้ง ปัจจัยกดดันหลายด้านทำให้ตลาดเริ่มไม่มั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนโยบายภาษีของทรัมป์ GDP มีแนวโน้มชะลอตัว และตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ
ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาโพสต์บน Truth Social ว่าเขาจะผลักดันนโยบาย “America First” ด้วยการเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากแคนาดาและเม็กซิโก ยกเว้นน้ำมันและพลังงานจากแคนาดาที่ถูกเก็บภาษี 10%
ส่วนสินค้าจากจีนถูกปรับขึ้นภาษีอีก 10% จากเดิมที่เคยประกาศไว้ ทำให้รวมแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 20%
ด้าน Goldman Sachs คาดว่า หากนโยบายนี้บังคับใช้เต็มรูปแบบ GDP สหรัฐฯ อาจลดลง 0.8% ขณะที่ Morgan Stanley ประเมินว่าอาจลดลงถึง 1.1%
นอกจากนี้ ข้อมูล GDPNow จาก Atlanta Fed บอกว่าไตรมาสแรกของปี 2025 เศรษฐกิจอาจติดลบถึง 2.4% ถ้าตัวเลขนี้เป็นจริง 2 ไตรมาสติดกัน ก็จะเข้าข่าย Recession แบบเต็มตัว
ด้านตลาดแรงงานก็ส่งสัญญาณที่น่ากังวล รายงานจาก Trading Economics ระบุว่า การจ้างงานใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์มีเพียง 151,000 ตำแหน่ง ต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี และการขอสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็น 1.897 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
อย่างไรก็ตาม รายงานจาก Trading Economics ยังระบุอีกว่า อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.1% ซึ่งถือว่ายังไม่ถึงจุดอันตราย
Claudia Sahm นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เคยบอกว่า “ถ้าตัวเลขอัตราการว่างงานพุ่งเกิน 4.5% ในเวลาสั้น ๆ ค่อยเริ่มกังวล” แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น
ทั้งนี้ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ยังคงมีโมเมนตัมที่ดีในช่วงต้นปี 2025 โดยได้แรงหนุนจาก ค่าจ้างหลังหักภาษี ที่เติบโต 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
ด้าน ค่าจ้างที่แท้จริง (Real Wage Growth) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดย U.S. Bureau of Labor Statistics รายงานว่า ค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 1.0% จากธันวาคม 2023 ถึงธันวาคม 2024
Federal Reserve Bank of Atlanta ระบุการเติบโตเฉลี่ย 1.8% ในช่วงมกราคม 2024 – 2025 ส่วน Economic Policy Institute คาดการณ์การเติบโต 1 – 2% ในปี 2024 – 2025 โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ต่ำที่เติบโตสะสม 13.2% ตั้งแต่ 2019 – 2023
และ Bank of America Institute ชี้ว่า ค่าจ้างหลังหักภาษีที่แท้จริงเพิ่มขึ้น 3% ในธันวาคม 2024 เทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าอัตราการเติบโตจะชะลอลงจากช่วงสูงสุดในยุคโควิด แต่แนวโน้มยังคงเป็นบวกจากการที่เงินเฟ้อลดลงเหลือ 3 – 4% ในต้นปี 2025 แปลว่าชาวอเมริกันยังมีเงินในกระเป๋า และหนี้ครัวเรือนก็ยังไม่พุ่งถึงขั้นวิกฤต
ด้าน Jerome Powell ประธาน Fed ระบุว่า เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง และพร้อมลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตหากจำเป็น ซึ่งหมายความว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ใกล้เข้าสู่ Recession จริง ๆ Fed ก็ยังมีเครื่องมือที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าว
ย้อนกลับไปปี 2023 สมัยที่ทุกคนกลัว Recession เหมือนกัน Goldman Sachs เคยให้โอกาสถึง 30% แต่สุดท้ายเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับเติบโตต่อเนื่องถึง 7 ไตรมาสที่อัตรา 1.5% ขึ้นไป
ทั้งนี้ แม้จะมีความเสี่ยงในการเกิด Recession แต่โอกาสในการเกิดขึ้นยังคงอยู่ในระดับปานกลาง โดย J.P. Morgan ปรับโอกาสเกิด Recession จาก 17% เป็น 31% ในวันที่ 7 มีนาคม ขณะที่ Goldman Sachs ประเมินไว้ที่ 20%
แม้ว่าความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยจะมีอยู่ แต่ข้อมูลหลายอย่างยังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง นโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์อาจสร้างความสั่นสะเทือน แต่ Fed และการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจ
อ้างอิง: Bank of America Institute, Bureau of Labor Statistics, CNN
ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นในช่วง 10 วันแรกของเดือนมีนาคม จากอุปสงค์เรือและรถยนต์ที่แข็งแกร่ง
กรมศุลกากรเกาหลีใต้รายงานว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้มีมูลค่า 13.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงวันที่ 1-10 มีนาคม เพิ่มขึ้น 2.9% จาก 13.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ปริมาณการส่งออกเฉลี่ยต่อวันในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ยอดส่งออกเรือเพิ่มขึ้น 55.2% สู่ระดับ 1.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 6.2% สู่ระดับ 1.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในด้านการส่งออกตามประเทศ จุดหมายปลายทางหลักอย่างจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ พบว่ามีการส่งออกลดลง 6.6% มาอยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.5% มาอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา: https://www.koreaherald.com/article/10438380
📌 อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/korea-jan-2025
📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mr-messenger/korea-feb-2025
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
Definit SET Select (DSS) กลยุทธ์คัดเลือกหุ้นเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว โดยเกิดจากความร่วมมือระหว่าง บลป.เดฟินิท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (Finnomena) และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ทำผลตอบแทน 1.9% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 สวนทาง SETTRI ที่ปรับตัวลง 7.9% หรือคิดเป็นผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (alpha) +9.8% เพียงเดือนเดียว ขณะที่ผลตอบแทนสะสมของ DSS ตั้งแต่ต้นปี 2025 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ -1.3% เทียบกับ SETTRI ที่ปรับตัวลงถึง -13.5%
ผลตอบแทน DSS รายเดือนของปี 2025
Source: Definit, Bloomberg as of 28/02/2025
หมายเหตุ:ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผลตอบแทน Detfinit SET Select ใช้ตัวเลขผลตอบแทนสุทธิจากบัญชีตัวแทนของนักลงทุนท่านหนึ่ง ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนแต่ละคนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
สนใจรับบริการ Stock Health Check ตรวจสุขภาพหุ้นไทย ดูแล ปรับพอร์ต และถอดสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ สัมผัสบริการผู้แนะนำการลงทุนสุดพิเศษ คลิกเลย
Definit SET Select ได้มีการถือเงินสดสัดส่วน ~30% ในช่วงครึ่งแรกของเดือนก.พ. 2025 และลดสัดส่วนเงินสดเหลือ ~10% ในช่วงครึ่งหลังของเดือนก.พ. 2025 โดยการถือเงินสดบางส่วนในพอร์ตเป็นผลมาจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจึงทำให้แนวโน้มราคาหุ้นส่วนใหญ่เป็นเชิงลบ (Negative momentum) รวมถึงหุ้นไทยส่วนใหญ่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลงทำให้มีหุ้นผ่านเกณฑ์คัดเลือกมีจำนวนน้อย
สัดส่วนการลงทุนในหุ้นและเงินสดของ Definit SET Select ย้อนหลัง
Source: Definit as of 28/02/2025
หมายเหตุ:ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ
โดยหุ้นที่ Definit SET Select คัดเลือกมาและมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มอาหาร อาทิ TFG CPF และ BTG ซึ่งได้อานิสงส์จากราคาถั่วเหลืองที่เป็นต้นทุนอาหารสัตว์เลี้ยงปรับตัวลดลงทำให้อัตรากำไรของธุรกิจอาหารดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหุ้น MINT ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากยอดจองที่พักในไทยและยุโรปที่ดีขึ้น รวมถึงโรงแรมในไทยได้อานิสงส์จากการเป็นที่รู้จักจาก “ซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3” ที่มาถ่ายทำโรงแรมในเครือถึง 4 แห่ง อาทิ 1) Four Seasons Resort Koh Samui, 2) Anantara Mai Khao Phuket Villas, 3) Anantara Lawana Koh Samui Resort และ 4) Anantara Bophut Koh Samui Resort ซึ่งอาจช่วยให้ค่าที่พักของโรงแรมปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันมีหุ้นที่ปรับตัวลดลงหลัก ๆ คือ SFLEX และ INTUCH แต่โดยภาพรวมของพอร์ตยังสามารถบวกสวน SETTRI ได้ในเดือนกุมภาพันธ์
ที่มาของผลตอบแทนขั้นต้น (Attribution of gross return) ของ Definit SET Select ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
Source: Definit, Bloomberg as of 28/02/2025
หมายเหตุ:ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ
สำหรับปี 2024 ที่ผ่านมา Definit by Finnomena ได้เริ่มให้คำแนะนำหุ้นรายตัว “Definit SET Select หรือ DSS” ซึ่งทำผลตอบแทนย้อนหลังบวก 13% (หักทุกค่าธรรมเนียม) ชนะ SET TRI ที่บวกเพียง 1% ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากกระบวนการคัดเลือกหุ้นอย่างเข้มข้นที่ผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค พร้อมทั้งมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติ* เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะตลาดควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง
*Definit SET Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (เลขใบอนุญาต 0105565129248) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (Finnomena) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
กราฟผลตอบแทนสุทธิรายเดือนประจำปี 2024 1
Source: Definit, Bloomberg as of 31 Dec 2024
1 ผลการดำเนินงานในอดีตและผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ |ผลตอบแทนรายเดือนหัก commission fee | ผลตอบแทนสะสม (cumulative return) หัก commission fee, management fee คิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี และ performance fee ที่ 15% โดยคิด high water mark ต่อเนื่องจากผลตอบแทนช่วง backtest | ผลตอบแทน SET คิดจากจากราคาปิดวันที่ 2 มกราคม 2024 ซึ่งเป็นวันแรกที่ DSS ให้คำแนะนำ หากนับตามจำนวนวันเต็มปีปฏิทิน 2024 ผลตอบแทน SET TRI +2%
กราฟผลตอบแทนรายปีสุทธินับแต่ Backtest, Live Test และเริ่มแนะนำจริง 2
Source: Definit, Bloomberg as of 31 Dec 2024
2 ผลการดำเนินงานในอดีตและผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนหัก commission fee, management fee คิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี และ performance fee ที่ 15% โดยคิด high water mark ต่อเนื่องจากผลตอบแทนช่วง backtest | ผลตอบแทน SET คิดจากจากราคาปิดวันที่ 2 มกราคม 2024 ซึ่งเป็นวันแรกที่ DSS ให้คำแนะนำ หากนับตามจำนวนวันเต็มปีวันที่ตามปฏิทิน 2024 ผลตอบแทน SET TRI +2%
Definit SET Select พลิกกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ช่วยคัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พิจารณา 3 ปัจจัย
Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้น
หมายเหตุ: ผลตอบแทนในอดีตปี 2013-2022 เป็นการ Back test ไม่สามารถเป็นการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต | ผลตอบแทนในปี 2013-2023 คำนวนโดยใช้ราคาปิดวันที่ 1 | Live test เริ่มตั้งแต่ปี 2023 | ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | ผลตอบแทนเดือนม.ค. – ก.ค. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ออกบทความ และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ออกบทความ ณ เดือนถัดไป เนื่องจากช่วงดังกล่าว Definit ให้คำแนะนำแบบ Subscription | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ส.ค.-ก.ย. ปี 2024 คำนวนโดยราคาซื้อใช้ราคาปิดของวันที่ 2 ของเดือน และราคาขายใช้ราคาเปิดของวันที่ 2 ของเดือนถัดไป (หากตรงกับวันหยุดจะใช้วันทำการถัดไป) | ผลตอบแทนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2024 จะคำนวนผลตอบแทนตามเดือนนั้นๆ โดยใช้ราคาปิดของสิ้นเดือนนั้น | ผลตอบแทนรวมเงินปันผล | ผลตอบแทนสุทธิ (net return) ของโมเดลพอร์ตหักค่า commission ที่ 0.25%+VAT โดยคิด turnover ที่ 80%, ค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fee) คิด 0.75% ต่อปีโดยคิดบนสมมติฐานข้อมูลเฉลี่ยระหว่างเงินลงทุนต้นปีและปลายปี, ค่าธรรมเนียมตามกำไร (performance fee) คิด 15% ของผลตอบแทนที่สูงกว่า high water mark ซึ่งคิดเป็นรายปี | เดือน พ.ย. 2024 Definit Quant Portfolio ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Definit SET Select
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ใดใดของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับ บริษัท
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา HSBC ได้ปรับลดคำแนะนำลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มาเป็นระดับ “Neutral” (คงน้ำหนักการลงทุน) จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของทรัมป์ และปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนในหุ้นยุโรป (ไม่รวมหุ้นสหราชอาณาจักร) จาก “Underweight” (ลดน้ำหนักการลงทุน) เป็น “Overweight” (เพิ่มน้ำหนักการลงทุน) หลังเยอรมนีผ่อนปรนกฎเกณฑ์ทางการคลัง
HSBC ระบุว่ามาตรการของรัฐบาลทรัมป์เกี่ยวกับนโยบายการค้าและนโยบายอื่น ๆ สร้างความไม่แน่นอนหลายด้าน ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปที่มีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ รวมทั้งและการที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากสหรัฐฯ
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงประมาณ 6.1% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 19 ก.พ. เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจะกระทบกำไรของบริษัทและทำให้การเติบโตชะลอตัว
“สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือเราไม่ได้มีมุมมองที่เป็นลบต่อหุ้นสหรัฐฯ แต่ในเชิงกลยุทธ์ เราเห็นโอกาสที่ดีกว่าในตลาดอื่น” อลาสแตร์ พินเดอร์ นักกลยุทธ์หุ้นโลกจาก HSBC กล่าว
ไมเคิล วิลสัน นักกลยุทธ์หุ้นจาก Morgan Stanley มองว่าดัชนี S&P 500 อาจลดลงอีก 5% มาอยู่ที่ 5,500 จุดภายในกลางปีนี้ ก่อนที่จะสิ้นสุดปีที่ประมาณ 6,500 จุด ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 12.7% จากราคาปิดล่าสุดของดัชนี Benchmark
📌 อ่านคำแนะนำ Mr.Messenger Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/mr-messenger/europe-mar-2025
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
การเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทต่าง ๆ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการลงทุน โดยเฉพาะ “ตลาดตราสารหนี้” เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งถูกปรับลดอันดับเครดิตสูงสุดในรอบหลายปี คำถามที่ตามมาคือ นี่เป็นสัญญาณของ “ความเสี่ยง” ที่เพิ่มขึ้น หรือเป็น “โอกาส” ในการลงทุนหุ้นกู้กันแน่?
เพื่อตอบคำถามนี้กับนักลงทุน Definit by Finnomena จึงจัดงานสัมมนาพิเศษ “บริษัทยักษ์ใหญ่ถูกดาวน์เกรดสูงสุดในรอบหลายปี โอกาสหรือความเสี่ยง? ของการลงทุนหุ้นกู้” เมื่อวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยบทความนี้จะสรุปประเด็นสำคัญในงานสัมมนาที่นักลงทุนหุ้นกู้ควรทราบ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้ต่อไป
ปี 2024 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นกู้ไทยเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ด้วยมูลค่าหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้และเลื่อนกำหนดชำระรวมกันสูงถึงกว่า 40,000 ล้านบาท จากผู้ออกถึง 22 ราย โดยแบ่งเป็นหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ 3,172 ล้านบาท จาก 5 ราย และหุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระ 37,963 ล้านบาท จาก 17 ราย
ไม่เพียงเท่านั้น สถานการณ์การปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทต่าง ๆ ก็อยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยมีจำนวนบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับเครดิตมากที่สุดในรอบ 6 ปี หรือตั้งแต่ปี 2018 รวมทั้งสิ้น 46 ราย และที่น่าตกใจคือไม่ใช่แค่บริษัทขนาดเล็กเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่บริษัทขนาดใหญ่ก็ถูกปรับลดอันดับเครดิตมากขึ้นเช่นกัน โดยมีบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับเครดิตถึง 26 ราย และมีบริษัทที่ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตเพียง 8 รายเท่านั้น (ข้อมูลจาก ThaiBMA)
ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนเหล่านี้ Definit เข้าใจถึงความกังวลของนักลงทุน จึงได้พัฒนา “Bond Health Check” บริการตรวจสุขภาพหุ้นกู้ วิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นกู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ดังนี้
ความน่าจะเป็น % ที่บริษัทจะมีการผิดนัดชำระหนี้ (default) ภายในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า วิเคราะห์จากสถิติข้อมูลในอดีตกว่า 65,000 บริษัทจดทะเบียนใน 10 อุตสาหกรรมทั่วโลก ตั้งแต่ 1998-2018 โดยปัจจัยที่ใช้กำหนดค่า Default Probability ได้แก่
คำแนะนำจาก Definit: ค่า Bloomberg default probability ควรต่ำกว่า 1.5% (ยิ่งต่ำ ยิ่งดี)
แบบจำลองทำนายบริษัทล้มละลาย สร้างโดย deward Altman ศาสตราจารย์ด้านการเงินที่ NYU ในปี 1968 ใช้ข้อมูลทางบัญชีของบริษัทในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1970-1999
Altman Z-Score สามารถคาดการณ์การล้มละลายภายในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ได้ถึง 80-90% โดยปัจจัยที่ใช้กำหนดค่า Z-Score มาจากอัตราส่วนทางการเงินที่สามารถสะท้อนผลประกอบการ โดยมีสูตรดังนี้
Z = 1.2A + 1.4B + 3.3C + 0.6D + 0.99E
A = Working capital / Total assets
B = Retained Earnings / Total assets
C = EBITDA / Total assets
D= Market Cap / Total liabilities
E = Revenue / Total assets
ความหมายของอัตราส่วนทางการเงินในสูตร Altman Z-Score
คำแนะนำจาก Definit: หุ้นกู้คุณภาพควรมี Altman Z-Score ไม่ต่ำกว่า 0.50 (ยิ่งสูง ยิ่งดี)
เนื่องจากค่า Altman Z-Score คำนวณจากข้อมูลในอดีตที่ปรากฏในงบการเงิน ซึ่งเป็นการมองภาพระยะยาว จึงจำเป็นต้องใช้ค่า Bloomberg default probability เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงในระยะสั้นควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากราคาหุ้นมีความผันผวนผิดปกติค่า Bloomberg default probability จะสามารถบ่งชี้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
Definit สร้าง indicator ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของ default probability หากเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ Definit กำหนดภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถือว่าบริษัทมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
คำแนะนำจาก Definit: หุ้นกู้คุณภาพดีต้องไม่มีการเพิ่มขึ้นของ Default Probability อย่างรวดเร็วเกินไป
บริการแนะนำจัดพอร์ตตราสารหนี้ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่จำเป็นต้องรอการออกตราสารหนี้ออกใหม่ บริการนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณได้อย่างอิสระ ไม่ว่าคุณจะต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง หรือต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น บริการ Bond on Demand จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งพอร์ตการลงทุนหุ้นกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการของคุณได้อย่างลงตัว
📌 สนใจรับคำแนะนำหุ้นกู้ พร้อมรับบริการ Bond Health Check และ Bond on Demand สามารถติดต่อที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่านได้แล้ววันนี้ หรือ สามารถกรอกแบบฟอร์มรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่ https://www.finnomena.com/bond/
คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในหุ้นกู้ไม่ใช่การฝากเงิน | การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้เป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น มิใช่สิ่งชี้นำการซื้อขายตราสารหนี้ที่เสนอขาย และไม่ได้เป็นการรับประกันความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้
ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ บลป.เดฟินิท 02-109-9933
เมื่อคืนวันที่ 10 มีนาคม 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) และ ดัชนี NASDAQ 100 ปรับตัวลงแรงกว่า -2.7% และ -3.81% ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงยกแผง นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX) -1.6% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) -1.17% ดัชนี HSCEI หรือ หุ้นจีน H-Shares -0.76% ตลาดหุ้นไทย (SET Index) -0.6% และตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) -0.45%
การปรับตัวลงครั้งนี้ได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้น Tesla -15.43, Nvidia -5.07%, Apple -4.85%, Google -4.6%, Meta -4.42% และ Microsoft -3.34% โดยเกิดขึ้นเนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยได้ประกาศเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า 25% สำหรับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2025 โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่าทั้งสองประเทศยังไม่สามารถควบคุมการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนได้เพียงพอ นอกจากนี้ เขายังส่งสัญญาณว่าอาจเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนอีก 10% และขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากยุโรป 25% ซึ่งยังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ตามทรัมป์ได้มีคำสั่งยกเว้นผู้ผลิตรถยนต์จากการขึ้นภาษี 25% ในแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน
Finnomena Funds มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังคงเผชิญกับความผันผวน เนื่องจากสงครามการค้าและนโยบายที่ยังไม่แน่นอนของโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด ทั้งนี้เงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับตัวลงในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า จึงทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2025 อีก 2 รอบ ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแม้ประกาศออกมาดีกว่าคาด แต่นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรลดลงต่อเนื่อง ถึงแม้ราคาปรับตัวย่อลงมา แต่ Valuation ของตลาดหุ้นยังตึงตัว
เราแนะนำ Selective หุ้นเล็ก คุณภาพ และ Laggard ในกองทุน ASP-USSMALL-A และแนะนำ “ซื้อ” กองทุน MEGA10-A ตามมุมมองของ Fundtalk Call
ด้านตลาดหุ้นเอเชีย Finnomena Funds มองว่าตลาดมีโอกาสฟื้นตัว โดยการปรับตัวลงของตลาดจึงเป็นจังหวะในการเข้าทยอยสะสมการลงทุนในหุ้นเอเชียอย่าง UOBSA ที่ใช้ AI ร่วมกับผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้น สร้างผลตอบแทนระยะยาวโดดเด่นกว่ากองเอเชียอื่น ๆ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการ hedge ความเสี่ยงพอร์ตจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์ตามคำแนะนำของ Mr.Messenger Call อย่างกองทุน AGBFIX-A และกองทุน SCBFST ซึ่งได้อานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์ที่มีโอกาสแข็งค่าในระยะสั้น รวมถึงยังรับโอกาสจาก Bond Yield สหรัฐฯ ตัวสั้นที่อยู่ในระดับสูง
จัดทำโดยบลป. เดฟินิทสำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
ตลาดหุ้นยุโรปกำลังเขย่าโลกการลงทุนด้วยแรงบวกแข็งแกร่งที่สุดในรอบทศวรรษ
ยังไม่จบไตรมาสแรกของปี 2025 ดัชนีหุ้นเยอรมัน สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส ต่างพุ่งทะยานไปแล้วกว่า 15-25% เมื่อรวมกับการแข็งค่าของเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์อีก 3.2% ตั้งแต่ต้นปี ยิ่งทำให้การลงทุนในทวีปนี้น่าสนใจขึ้นไปอีก
เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นยุโรปและควรลงทุนอย่างไร เป็นเรื่องที่ผมอยากชวนให้นักลงทุนไทยรู้เท่าทันตลาด
เหตุผลที่ทำให้ยุโรปต้องปรับตัวครั้งใหญ่ คือการกลับมาของ Trump
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในงาน Munich Security Conference เมื่อรองประธานาธิบดี JD Vance วิจารณ์ยุโรปอย่างรุนแรงเรื่องการไม่ร่วมมือกับพรรคฝ่ายขวา สร้างความไม่แน่นอนและไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและยุโรป
ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมัน Friedrich Merz ใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญ ด้วยการเสนอแผนการคลังขนาดใหญ่ประกอบด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 5 แสนล้านยูโรใน 10 ปี การเพิ่มเพดานขาดดุลเชิงโครงสร้างต่อปีเป็น 0.35% ต่อ GDP และยกเว้นข้อจำกัดสำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหม
ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ GDP เยอรมันจากที่ไม่เติบโต มีโอกาสจะขยายตัว 1.5-2.0% ต่อปีใน 10 ปีข้างหน้า
ด้วยขนาดเศรษฐกิจเยอรมนีที่คิดเป็นกว่า 25% ของยุโรป ผลบวกจะกระจายไปทั่วทั้งทวีปและอาจเป็นแม่แบบการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุโรปอื่น ๆ ในอนาคต
นอกจากนโยบายเศรษฐกิจ ตลาดการเงินก็กลับทิศมาสนับสนุนในเวลาเดียวกัน
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือการฟื้นตัวของเงินยูโร (EUR) จากที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ตอนนี้กำลังแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แรงบวกสำคัญมาจากส่วนต่างของบอนด์ยีลด์ระหว่างยุโรปกับสหรัฐที่แคบลงอย่างรวดเร็ว
ต้นปีที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.6% ขณะที่บอนด์ยีลด์เยอรมันต่ำเพียง 2.3% ทำให้เงินลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ฝั่งสหรัฐ
แต่ความแตกต่างนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มผันผวนจากนโยบายลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ สวนทางกับยุโรปที่ตั้งเป้ากระตุ้นทางการคลังเพิ่ม
ล่าสุดบอนด์ยีลด์เยอรมันและสหรัฐอายุ 10 ปี ขยับไปที่ 2.8% และ 4.3% ทำให้ส่วนต่างของยีลด์แคบที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2023 และมีแนวโน้มแคบลงไปอีก
ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดหุ้นสหรัฐก็กำลังเผชิญกับแรงขายทำกำไรในหุ้น Tech ที่มูลค่าแพง เมื่อตลาดมีหุ้นจีนที่สร้าง AI มาแข่งขัน และตลาดหุ้นยุโรปที่มีแรงบวกจากนโยบายเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้แรงขายเกิดขึ้นเร็ว เงินดอลลาร์อ่อนค่า หนุน EUR แข็ง สนับสนุนเงินทุนให้เคลื่อนตัวมาที่ยุโรปมากขึ้นไปอีก
ตลาดหุ้นยุโรปจะไปต่อได้อีกแค่ไหน ผมมองว่าอยู่ที่ Valuation และทิศทางการเติบโตของรายได้ในอนาคต
การปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากตลาดหุ้นยุโรป STOXX 600 มี NTM P/E เริ่มต้นปีที่ 14 เท่า ถูกกว่าค่าเฉลี่ย 5 อดีต (15.5เท่า) และหุ้นสหรัฐ (S&P 500 21เท่า) จึงมีการปรับสมดุลที่สะท้อนมูลค่าใหม่อย่างรวดเร็ว
ในอนาคตหุ้นยุโรปจะมีโอกาสปรับสมดุลต่อเนื่องถ้านักลงทุนทยอยลดสัดส่วนการลงถทนหุ้นสหรัฐที่มี Valuation สูง และหันไปลงทุนนอกสหรัฐฯ หรือหุ้นในยุโรปเริ่มกลับมามีรายได้เติบโตจากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
ถ้าสนใจลงทุนในยุโรป ผมแนะนำธีมลงทุนและหุ้นยุโรปที่น่าจับตา 3 ธีม
สำหรับปี 2025 แม้ความเสี่ยงสงครามรัสเซียยูเครน สงครามการค้า และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงอยู่ แต่ถ้าการปฏิรูปเกิดขึ้นจริง หุ้นยุโรปจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แน่นอนครับ
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
Finnomena Funds มองตลาดปรับฐานแรง เป็นจังหวะซื้อมากกว่าหลบเลี่ยง แนะนำเข้าเก็บทะยอยสะสมในช่วงที่ย่อตัวลงมา โดยเชื่อว่าสหรัฐฯ ไม่ได้กำลังเข้าสู่ Recession ในขณะที่หุ้นใหญ่รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกายังคงโดนกดดันต่อเนื่อง ดัชนี S&P500 ปรับตัวต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน ซึ่งแรงกดดันที่ว่าเป็นเพราะความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจะเกิด Recession จากการให้สัมภาษณ์ของ Donald Trump ที่บอกว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งสร้างความคลุมเครือให้แก่นักลงทุน
อย่างไรก็ดี เรายังคงกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุน โดยมองว่าเป็นโอกาสกลับเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดปรับฐาน จึงแนะนำเก็บหุ้นอเมริกาขนาดใหญ่ พร้อมกระจายความเสี่ยงยังไปตลาดอื่น ๆ เช่น ยุโรป เอเชีย และตราสารหนี้โลก ซึ่งยังคงมีอัพไซด์เปิดกว้าง
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Contrarian Investor เน้นกลยุทธ์การลงทุนหาสินทรัพย์ที่ถูกทิ้ง จนราคาปรับตัวลงลึกมากจนเกินไป แต่ศักยภาพการเติบโตยังดี ประกอบกับมีลมหนุนที่ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นได้ ทำให้มีโอกาสได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล
1.) MEGA10-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ 10 ตัว มองเป็นจังหวะเข้าลงทุนหลังกลุ่ม 7 นางฟ้า ปรับฐานทะลุ 20% โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้กำลังเข้าสู่ Recession ในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว
2.) MEGA10CHINA-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นจีนขนาดใหญ่ 10 ตัว ได้รับประโยชน์จากกระแส AI Boom ในประเทศจีน และมีแรงหนุนจากการประชุม Two Sessions 2025 ที่ออกมาเป็นโทนบวก ทางการจีนประกาศเป้าหมายที่ท้าทายในการยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
3.) TISCOAI (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้น AI และ Big Data โดยลงทุนครอบคลุมธีม AI กลางน้ำและปลายน้ำ ซึ่งจะมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต จากการที่โลกพัฒนาเข้าสู่ยุค Agentic AI และยังเป็นกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับหุ้นบิ๊กเทค Magnificent-7
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ Trend Follower Investor มุ่งสร้างโอกาสทำกำไรในระยะสั้น-กลาง เน้นใช้ปัจจัยทางเทคนิคจับจังหวะตลาด ศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีต โดยใช้หลักสถิติคาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
1.) ONE-EUROEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นยุโรป ซึ่งราคาหุ้นมีโมเมนตัมเชิงบวก พร้อมบริษัทจดทะเบียนถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น จึงถือเป็นแหล่งหลบภัยชั้นดีในยามที่ Trump ป่วนโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดูอ่อนแอ
2.) DAOL-KOREAEQ (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเกาหลีใต้ เริ่มมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นยังถูก อัพไซด์สูง พร้อมกับมีโอกาสเติบโต เนื่องจากหุ้นผู้นำในดัชนี KOSPI ล้วนเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำชั้นนำของโลก ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากกระแส AI รายถัดไป
2.) ABGFIX-A และ SCBFST (ความเสี่ยงระดับ 4)
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินดอลลาร์ คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมุมมองค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อจากนี้ นอกจากนี้ ยังเป็นทางเลือกการกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจจาก Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูง
คำแนะนำการลงทุนในรูปแบบ The Long-Term Growth เพื่อสร้างโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในระยะกลาง-ยาว โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านตาม MEVT Framework ได้แก่ Macro ปัจจัยเชิงมหภาค, Earnings วิเคราะห์การเติบโตของกำไร, Valuation การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุน และ Technical
1.) B-INNOTECH (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดี เน้นคัดเลือกหุ้น Value Play โดยเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาไม่แพง ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมากองทุนหลักได้มีการปรับพอร์ต ลดสัดส่วน Magnificent-7 และเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม AI
2.) PRINCIPAL VNEQ-A (ความเสี่ยงระดับ 6)
กองทุนหุ้นเวียดนามศักยภาพสูง เป็นตลาดที่ถูกและดี พร้อมด้วย Sentiment จากการปรับโครงสร้างระบบราชการ ลดจำนวนบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ เวียดนามยังมีปัจจัยหนุนในการเตรียมเข้าสู่ EM Market ของดัชนี FTSE ในปีนี้
3.) UGIS-N และ KF-CSINCOM (ความเสี่ยงระดับ 5)
กองทุนตราสารหนี้โลก ถือโอกาสเก็บสะสมในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน และ Bond Yield อยู่ในระดับสูง โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายการคัดเลือกตราสารหนี้แบบ Active ยืดหยุ่น สอดรับกับสถานการณ์ตลาด
ดูคำแนะนำทั้งหมดได้ที่ 👉 Opportunity Hub แหล่งรวมโอกาสการลงทุนจาก Finnomena
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
เคยได้ยินไหมว่า “ผลประกอบการคือเจ้ามือตัวจริงของตลาดหุ้น” ความหมายของคำนี้ต้องการจะสื่อว่าแม้ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น Sentiment ของตลาด, กระแสข่าว หรือแรงเก็งกำไรจากนักลงทุน แต่ท้ายที่สุดแล้วกำไร-ขาดทุนของบริษัท จะเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางของราคาหุ้นอยู่ดี
การเฝ้าหาหุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นจากนักวิเคราะห์ จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่เรียบง่าย เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และเหมาะกับการขุดหาหุ้นรายตัวที่ยังมีโอกาสในตลาดที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น ตลาดหุ้นไทย เป็นต้น
สนใจรับบริการ Stock Health Check ตรวจสุขภาพการลงทุนในหุ้นของคุณ
สิทธิพิเศษสำหรับนักลงทุนที่ต้องการคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนส่วนตัว คลิกเลย
Source: TradingView, Finnomena Funds as of 21/02/2025
ตั้งแต่เปิดปี 2025 ตลาดหุ้นไทยยังไม่ไปไหน SET Index ลงมาทดสอบ 1,200 จุด และให้ผลตอบแทนติดลบ -13.70% (ข้อมูล ณ วันที่ 25/02/2025) โดยมีแรงกระแทกมาจากหุ้นขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีได้ปรับตัวลงอย่างรุนแรง ในลักษณะของการถูกคอร์เนอร์
คอร์เนอร์หุ้น คือ เป็นพฤติกรรมการลงทุนที่กลุ่มนักลงทุนพยายามควบคุมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ด้วยการเข้ามาถือครองสินทรัพย์นั้นไว้จำนวนมาก พร้อมกับสร้างสตอรี่การเติบโตจนเกินพื้นฐานที่ควรเป็น ทำให้เมื่อความจริงปรากฏ ราคาหุ้นจึงร่วงรุนแรงในเวลาอันรวดเร็ว ประสบกับภาวะ “คอร์เนอร์แตก” เป็น Moment of Truth ที่ต้องเผชิญสำหรับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นไว้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ของไทย เขียนไว้ในบทความ “เมื่อหุ้นยักษ์คอร์เนอร์แตก ตลาดหุ้นจะมีชีวิตใหม่” ว่าสิ่งที่ทำให้หุ้นคอร์เนอร์แตกนั้น มากที่สุดก็คือการประกาศผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มว่าอนาคตก็จะยังไม่สดใสหรือแย่ลงอย่างถาวร ถ้าให้ผมทำนายคิดว่าภายในปีนี้ หุ้นตัวใหญ่ระดับยักษ์จะประสบกับการ คอร์เนอร์แตกเกือบหมด และน่าจะกระทบกับดัชนีตลาดหุ้นไม่น้อย แต่ก็จะเป็นโอกาสที่การลงทุนในหุ้นไทยจะดีและยั่งยืนขึ้น เข้าทำนอง “ฟ้าหลังฝน” ชีวิต “เริ่มต้นใหม่”
เหตุผลก็เพราะว่าสิ่งดี ๆ เล็ก ๆ กำลังกลับมา เริ่มตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่มาก แต่ก็ค่อนข้างมั่นคง บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่ไปทำอะไรใหม่มากมายที่ต้องเสียเงินสร้างสตอรี่ืที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ต้องการ แต่การสร้างกำไรคือสิ่งที่จะดีต่อหุ้นมากที่สุดในยุคนี้
ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ เตรียมตัวรับกับการที่หุ้นขนาดยักษ์คอร์เนอร์แตก ที่จะทำให้ดัชนีตกลงมาแรง แต่ไม่ต้องหนีออกจากตลาด เพราะยังมีหุ้นจำนวนมากราคาไม่แพงและสามารถลงทุนได้ โดยเฉพาะถ้ามีการกระจายความเสี่ยงดีพอ คือถือไว้หลายตัว ก็จะเป็นพอร์ตลงทุนในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนปีละ 6-7% แบบทบต้น โดยแต่ละปีพอร์ตจะไม่ค่อยขาดทุน
(ที่มา: https://www.finnomena.com/dr-niwes/corner-stock-new-life/ as of 17/02/2025)
Source: Definit as of 28/02/2025
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผลตอบแทน Detfinit SET Select ใช้ตัวเลขผลตอบแทนสุทธิจากบัญชีตัวแทนของนักลงทุนท่านหนึ่ง ผลตอบแทนที่แสดงอาจไม่ตรงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนแต่ละคนได้รับจริงเนื่องจากผลของค่าธรรมเนียม ราคาซื้อขายหุ้นที่เกิดขึ้นจริง และปัจจัยอื่นๆ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม | การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลตอบแทนย้อนหลังของพอร์ตหุ้นไทย Definit SET Select เดือนกุมภาพันธ์ 2025 สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวก 1.90% ในขณะที่ SET TRI ติดลบ -7.9% สะท้อนว่ากลยุทธ์การเลือกหุ้นที่มีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มโอกาสการเติบโตเหนือตลาดได้
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Definit SET Select แกร่งกว่าตลาดในปี 2025 เกิดจากการคัดเลือกหุ้นที่หนีเหตุการณ์คอร์เนอร์แตกของหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาได้ ทั้ง DELTA, AOT และ WHA ส่วนหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ามาก็มีการเคลื่อนไหว Outperform SET โดยมีหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่น คือ TFG, CPF และ MINT
Source: Definit, Finnomena, Bloomberg as of 26/02/2025
บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไก่สด ไก่แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไก่ สุกร อาหารสัตว์
สรุป DSS Rating ของหุ้น TFG โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ Strong
Source: Definit, Finnomena, Bloomberg as of 26/02/2025
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร แบ่งเป็น 1. ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) 2. ธุรกิจเลี้ยงสัตว์-แปรรูป (Farm-Processing) 3. ธุรกิจอาหาร (Food)
สรุป DSS Rating ของหุ้น CPF โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ Strong
Source: Definit, Finnomena, Bloomberg as of 26/02/2025
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ผู้ดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจโรงแรม ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา และให้เช่าศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบันเทิงและธุรกิจจัดจำหน่าย
สรุป DSS Rating ของหุ้น MINT โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ Strong
ทั้งนี้ จากกระบวนการคัดเลือกหุ้นอันเข้มข้นที่ผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ตามกรอบ EVT Model ซึ่งเน้นหุ้นที่ถูกปรับคาดการณ์กำไรขึ้น, Valuation ต่ำกว่าหุ้นอุตสาหกรรม และราคาหุ้นมีโมเมนตัมเชิงบวก ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมในพอร์ต Definit SET Select ออกมาดีกว่าตลาด ท่ามกลางภาวะตลาดที่ยากลำบาก และหนีจากหุ้นใหญ่ที่ถูกคอร์เนอร์ได้
*Definit SET Select เป็นบริการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (เลขใบอนุญาต 0105565129248) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือฟินโนมีนา (Finnomena) ดูแลด้านโมเดลและคำแนะนำพอร์ต กับบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลด้านบัญชีหุ้นและการบริหารพอร์ต
Definit SET Select พลิกกลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทย ช่วยคัดเลือกหุ้นไทยเน้น ๆ ไม่เกิน 20 ตัว พิจารณา 3 ปัจจัย
Earnings หุ้นที่ถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น
Valuation หุ้นที่มูลค่าถูกกว่าอุตสาหกรรม
Technical หุ้นที่มีโมเมนตัมเชิงบวกของราคาในระยะสั้น
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | การลงทุนอาจมีการกระจุกตัวสูงทั้งในรายหุ้นและรายอุตสาหกรรม
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ใดใดของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใด ๆ กับ บริษัท
โปรโมชั่นพิเศษ! ตั้งแต่วันที่ 10 – 31 มีนาคม 2568
รับหน่วยลงทุน TCINC มูลค่า 100 บาท เมื่อมียอดลงทุนตามเงื่อนไขที่
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
สำหรับนักลงทุนแนว VI รวมถึงผมเองนั้น นอกเหนือจากความรู้เรื่อง “จิตวิทยา” การลงทุนหรือจิตวิทยาสังคมอื่น ๆ ที่ได้ศึกษาร่ำเรียนมานั้น ถึงวันนี้คงต้อง “อัปเดต” ความรู้ใหม่อีกข้อหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญและจะสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารกระจายไปรวดเร็วทั่วโลกผ่านเครือข่ายสื่อสังคมดิจิทัลซึ่งสามารถ “สร้างกระแส” หรือกระตุ้นความรู้สึกหรือความคิดของคนให้รุนแรงขึ้นมากจนทำให้เกิดการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่อาจจะกระทบกับการลงทุนของเราทั้งในทางที่ดีและร้าย แต่ในบทความนี้ผมจะพูดในทางที่ร้ายเป็นหลัก เพราะผลกระทบมันแรงเนื่องจากคนจะตอบสนองกับเรื่องที่ร้ายมากกว่าดี
ประเด็นที่จะพูดก็คือเรื่องของ “Hate Speech” หรือคำพูดที่โจมตี ใส่ร้าย คนอื่นหรือกลุ่มคนอื่นในประเด็นสารพัดทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความคิด เชื้อชาติ ไม่ว่าสิ่งที่พูดหรือเขียนในสื่อนั้นจะจริงหรือถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นการพูดที่อคติหรือเป็นเรื่องของการอิจฉาริษยาหรือไม่ โดยในเวอร์ชันของไทยซึ่งเรารู้จักกันดีก็คือ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” นั่นก็คือ มีคอมเมนต์จำนวนมากมายที่ด่าว่าคนบางคนที่พวกเขา “เกลียด” ไม่เห็นชอบกับสิ่งที่เจ้าตัวทำหรือแสดงความคิดเห็น บ่อยครั้งพวกเขาก็จะเรียกร้องให้ “แอนตี้” กิจกรรมหรือกิจการที่เจ้าตัวทำอยู่
ในกรณีที่รุนแรง ผลกระทบกับเจ้าตัวก็จะหนักจนแทบ “หายนะ” ตัวอย่างเช่น หากเจ้าตัวเป็น “ดารา” ที่ต้องอาศัยลูกค้าที่เป็น “คนดู” จำนวนมาก คนจำนวนหนึ่งซึ่งบางทีก็อาจจะมากที่ “เกลียด” เขาก็จะไม่ดูและเลิกดู ผู้สร้างภาพยนตร์ก็กลัวว่าหนังจะไม่ได้รับการยอมรับเพราะมีดาราคนนั้นก็จะเลิกจ้าง บริษัทที่ต้องการโฆษณาก็จะไม่จ้างดาราที่ถูกคนจำนวนมากแอนตี้แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความสามารถและเหมาะสมกับงาน แต่บังเอิญไปทำให้คนเกลียดและแสดงออกผ่านสื่อสังคมที่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
ตัวอย่างของธุรกิจหรือบริษัทเองนั้น ในกรณีของไทยก็มีปรากฏการณ์ “ทัวร์ลง” อยู่บ้าง แต่ก็มักจะไม่รุนแรงเท่ากับกรณีของบุคคลธรรมดา เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมัน “ไม่มีตัวตน” หรือ “ชีวิต” ที่คนทั่ว ๆ ไปจะ “เกลียด” ได้มากเท่ากับคน แต่บางครั้งมันก็ส่งผลต่อธุรกิจได้บ้างโดยที่ผู้บริหารบริษัทอาจจะไม่รู้หรือไม่ยอมรับ
แต่เรื่องราวของอีลอน มัสก์และบริษัทเทสลาที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้คงจะทำให้ความคิดเกี่ยวกับ “จิตวิทยาของความเกลียด” ในหมู่นักธุรกิจและนักลงทุนเปลี่ยนไปมาก และวันหนึ่งอาจจะเป็น “บทเรียน” ที่ถูกสอนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่าทำไมบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกบริษัทหนึ่งประสบกับ “ภัยพิบัติ” จนเอาตัวแทบไม่รอดเนื่องจากความคิดและกิจกรรมของผู้บริหารที่ไม่ได้เกี่ยวกับงานของบริษัทเลย แต่เป็นสิ่งที่กระทบหรือทำร้ายจิตใจของลูกค้า “ทั่วโลก” ทำให้พวกเขา “เกลียด” และไม่ยอมซื้อหรือใช้สินค้าของเทสลาที่เขาเป็นเจ้าของและผู้บริหาร
คนในเน็ตหรือในสื่อสังคมที่มีความคิดแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ “รุนแรง” ที่ “เกลียดมัสก์” มากพอ เพราะเขาแสดงตัวเป็นฝ่าย “ขวาจัด” ตั้งแต่เริ่มเข้าไปช่วยเหลือประธานาธิบดีทรัมป์หาเสียงและเข้ามาเป็นทีมงานที่ขจัดความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลโดยการปลดคนและข้าราชการออก ต่างก็เข้ามาคอมเมนต์และด่าว่ามัสก์และชักชวนให้คนประท้วงโดยการไม่ซื้อรถเทสลา บางคนถึงขนาดทำลายหรือขายรถทิ้งในราคาขาดทุน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่เห็นด้วยและมีความคิดรุนแรงซึ่งมีจำนวนมาก “เกลียด” มัสก์และเทสลาที่เป็นตัวแทนที่พวกเขาจะแก้แค้นและทำลายได้
ยอดขายรถเทสลาในเยอรมันซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ตกลงมาถึง 76% เทียบกับปีก่อน เช่นเดียวกับยอดขายในยุโรปอื่น ๆ ที่ตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์ และแม้แต่ในสหรัฐที่คนเลือกทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ยอดขายรถเทสลาก็ตกลงมาติดต่อกัน 2 เดือนแล้ว ดังนั้น กำไรของบริษัทเทสลาคงจะลดลงมากในช่วงต่อไป คนคงมีความรู้สึกว่า ความเกลียดนั้นมีมากกว่าการที่จะได้รถที่ดีขึ้นจากการซื้อรถเทสลา สุภาษิตไทยที่ว่า “เกลียดตัว กินไข่” นั้นใช้ไม่ได้ ในกรณีนี้ต้องเป็น “เกลียดมัสก์-ไม่ซื้อรถเทสลา”
ราคาหุ้นเทสลาเองก็ถูกขาย นอกจากเกลียดมัสก์แล้ว ยังเกลียดหุ้นเทสลาด้วย แต่คนที่ขายหุ้นเทสลานั้นมักจะเป็นนักลงทุนที่ “ไม่ลำเอียง” พวกเขาอาจจะไม่ได้ขายหุ้นเพราะเกลียดมัสก์ หลายคนอาจจะเชียร์มัสก์เพราะเขาโปร์หรือสนับสนุนธุรกิจและตลาดหุ้น แต่ที่ขายก็เพราะกำไรบริษัทเทสลาตกหนักและพื้นฐานอาจจะเปลี่ยนไปด้วย เพราะคนเกลียดและเกลียดแรง มีมากเกินไป ในขณะที่รถคู่แข่งก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เลิกใช้รถเทสลาดีกว่า
ราคาหุ้นเทสลาตกจากช่วงพีคในเดือนธันวาคมปี 2024 กว่า 40% และนับจากต้นปีนี้ก็ตกลงมาประมาณ 30% ในขณะที่ดัชนี NASDAQ 100 ลดลงเพียง 5-6% และดัชนี S&P 500 ลดลงแค่ 1-2% แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนน่าจะ “เกลียด” มัสก์ และคอมเมนต์ในสื่อสังคมเป็นลักษณะ “ทัวร์ลง” ทำให้คนลดการซื้อรถเทสลาซึ่งทำให้ธุรกิจ “เจ๊ง” กำไรของบริษัทลดลงอย่างแรง ซึ่งทำให้นักลงทุนขายหุ้นอย่างแรงซึ่งทำให้ “หุ้นตก” ลงไปมาก
หุ้น “ระดับโลก” อีกตัวหนึ่งที่มีอาการ คน “เกลียด” “ทัวร์ลง” ธุรกิจ “เจ๊ง” และ “หุ้นตก” แต่ในระดับที่อ่อนกว่าเทสลามาก อาจจะพูดได้ว่า คนไม่ได้ถึงกับเกลียดแต่อาจจะ “อิจฉาริษยา” แต่ทัวร์ก็ลง แต่อาจจะเฉพาะใน “กลุ่มคนพิเศษเฉพาะกลุ่มหนึ่งที่สำคัญ” ทำให้ธุรกิจไม่ถึงกับเจ๊ง แต่ก็ถดถอยลงบ้างจากที่ดีเลิศ และสุดท้ายก็คือหุ้น ที่ไม่ถึงกับหายนะแต่ก็หนักเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันที่ไม่ได้มีปัญหา
และนั่นก็คือหุ้น LVMH เจ้าของสินค้าหรูหลุยส์วิตตองที่เริ่มปรากฏข่าวที่เชื่อถือได้เมื่อซักประมาณ 1 ปี มาแล้วว่าลูกเจ้าของบริษัทเป็นแฟนกับนักร้อง K-Pop ระดับซุปตาร์ของโลก เรื่องนี้คงไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเพราะทั้งคู่ต่างก็มีสถานะที่โดดเด่นในระดับโลกอยู่แล้ว
แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่ว่านักร้องคนนั้นเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของหลุยส์อยู่แล้วและก็ทำโฆษณาให้กับสินค้าของหลุยส์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็มีส่วนทำให้กลุ่ม “แฟนคลับ” ของตนเองซื้อสินค้าหลุยส์เพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนี่ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ว่าที่จริงแฟนคลับอาจจะซื้อสินค้าหลุยส์เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้คนอาจจะคิดว่าไอดอลของตนเองกำลังจะกลายเป็นเจ้าของสินค้าด้วยซ้ำ ดังนั้น ก็ต้องช่วยกันอุดหนุนเพิ่มขึ้นไปอีก
ถึงจุดนี้ ชื่อเสียงของนักร้องยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก และก็ได้ออกงานหรือมีงานประชาสัมพันธ์สินค้าในเครือข่ายของหลุยส์เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงงานอีเวนต์ต่าง ๆ ที่หลุยส์เป็นสปอนเซอร์ เช่น งานแข่งขันกีฬาดัง งานเกี่ยวกับรถยนต์ และงานในแวดวงบันเทิงระดับโลกต่าง ๆ
และนั่นก็อาจจะทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะกับ “แฟนคลับของนักร้องและดารากลุ่มอื่น” ที่เคยซื้อสินค้าของหลุยส์เพราะนักร้องและดาราเหล่านั้นก็เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับหลุยส์เหมือนกัน เพราะหลุยส์นั้นใหญ่มากหรือเรียกว่ายักษ์เลยก็ได้ในด้านของสินค้าแบรนด์หรู ว่าที่จริงนักร้องดังนั้นเป็นเพียงหนึ่งในคนดังจำนวนมากที่โฆษณาให้หลุยส์
แฟนคลับของนักร้องดาราดังแต่ละกลุ่มนั้น ว่ากันว่าต่างก็เชียร์ไอดอลของตนเอง และก็แข่งขันกับไอดอลของกลุ่มอื่น วิธีเชียร์ก็คือการช่วยอุดหนุนสินค้าที่ไอดอลตนเองเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ การซื้อสินค้าคือการสนับสนุนไอดอลของตนเองให้เด่นดังขึ้น
แฟนคลับกลุ่มอื่น ๆ นั้นเริ่มมองว่านักร้องดังที่ดังขึ้นมากและมีคนเชิญไปแสดงตัวนั้น เป็นเพราะได้รับอภิสิทธิ์จากหลุยส์มากกว่าที่จะเกิดจากความสามารถหรือความโดดเด่นของตนเอง พูดง่าย ๆ เขาคิดว่านักร้องดังนั้น “ไม่ได้มีอะไรดีกว่าไอดอลของตนเอง” ดังนั้น พวกเขาก็ไม่พอใจและบางคนก็อาจจะ “เกลียด” และเริ่มคอมเมนต์สารพัดเช่น “หน้าตาก็ไม่ดี” “เสียงใช้ไม่ได้” “ที่ได้ไปออกงานโชว์ตัวก็เพราะหลุยส์” กลายเป็น “ทัวร์ลง” ระดับโลก
หลายคนในหลายกลุ่มแฟนคลับคนอื่นอาจจะเริ่มประท้วง ไม่ซื้อสินค้าของหลุยส์ เพราะถ้าซื้อก็เท่ากับสนับสนุนนักร้องดังให้ดังขึ้นไปกว่าไอดอลของตนเอง สินค้าของหลุยส์มียอดขายลดลง และก็ไม่น่าจะลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลงโดยเฉพาะที่จีน เพราะยอดขายสินค้าของคู่แข่งระดับเดียวกันอย่างแอร์เมสก็ยังเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “ทัวร์ลง” เกี่ยวกับนักร้องดังที่จีนก็แรงเหมือนกัน แฟนคลับของดาราจีนคอมเมนต์ว่า ทำไมไอดอลของตนเองถูกจัดให้ดูโดดเด่นน้อยกว่านักร้องดัง?
นอกจากธุรกิจที่ไม่ถึงระดับที่เรียกว่า “เจ๊ง” แต่ก็ “แย่” เช่นเดียวกัน หุ้น LVMH เองก็ “ตก” แม้ว่าจะไม่ถึงหายนะ มองย้อนหลังไปประมาณ 1 ปี หุ้นหลุยส์ตกลงไปถึงประมาณ 25% ในขณะที่หุ้นแอร์เมสเพิ่มขึ้น 9%
เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับหลุยส์นั้น ยังไม่ชัดเจน 100% ว่าเป็นเรื่องของ “ความเกลียด” ของคนที่เป็นลูกค้าหรือมีศักยภาพเป็นลูกค้าของหลุยส์แบบเดียวกับกรณีของเทสลาหรือไม่ แต่ในฐานะของนักลงทุนแบบ VI เราก็ต้องระวัง เพราะถ้ามันเป็นจริงแล้วเราไม่เข้าใจเข้าไปลงทุน เราก็อาจจะเจ็บตัวได้ ว่าที่จริงหุ้นหลุยส์เองนั้น เป็นหุ้นระดับซูเปอร์สต๊อกที่ผมคิดจะซื้อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมโดยเฉพาะในเรื่องของราคาที่มันย่อลง ตอนนี้ผมก็ต้องระวังประเด็นที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Two Sessions คือ การประชุม 2 สภาของประเทศจีน ประกอบไปด้วยสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ที่เป็นสภานิติบัญญัติสูงสุดของจีน และที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC) ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายของประเทศ พร้อมกับสะท้อนท่าทีของจีนต่อเวทีโลก
ภาพรวมการประชุมในปี 2025 นี้ ถือว่าออกมาเป็นโทนบวก รัฐบาลเน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ วางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง และหันมาให้ความสำคัญกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของปีนี้ ได้แก่
1. ตั้งเป้าที่จะบรรลุการเติบโตของ GDP ที่ 5% ในปี 2025
2. ตั้งงบประมาณขาดดุลที่ 4% จาก 3% ในปีก่อน ซึ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี ถือเป็นการปลดล็อกนโยบายการคลังครั้งใหญ่ เพื่อมุ่งมั่นกระตุ้นเศรษฐกิจ
3. เพิ่มการออกพันธบัตรระยะยาว มูลค่ารวม 1.3 ล้านล้านหยวน อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นออกพันธบัตรพิเศษ รวมถึงมีการออกพันธบัตรพิเศษเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารขนาดใหญ่อีก 5 แสนล้านหยวน
4. ปรับลดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อลงมาอยู่ที่ 2% ของ GDP เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี หลังจากที่ใช้กรอบ 3% มาเป็นเวลานาน สะท้อนถึงโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินได้มากขึ้น
5. มุ่งเน้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยเพิ่มเงินอุดหนุนผู้บริโภคเป็นสองเท่า เพื่อสนับสนุนการซื้อสินค้า เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์
6. เร่งผลักดันเทคโนโลยี High Tech เช่น AI, EV, Smart phone/PC, IoT, 6G, Biotechnology และ Platform economy เป็นต้น เพื่อเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวแทนที่ภาคอสังหาฯ ที่ยังคงซบเซา
7. แสดงจุดยืนลดการพึ่งพาตลาดต่างชาติ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้รัฐบาลจีนก็ได้มีการพูดถึงประเด็นสงครามการค้า และยอมรับว่าความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตของจีน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ไปสู่การเสริมสร้างการบริโภคภายในประเทศ ลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
1. US outlook เปลี่ยนจาก Overweight มาเป็น Slightly overweight ทำให้ลดน้ำหนักลงมาจาก 49% เหลือ 40% จากความกังวลเรื่องภาษีและความผันผวนในตลาด
2. ลดน้ำหนักหุ้นเวียดนามจากกองทุน K-VIETNAM ลงมาจาก 5% เหลือ 0% เนื่องจากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าที่อาจจะกระทบหุ้นเวียดนาม แนะนำลดน้ำหนักลงมาก่อนและรอจังหวะเข้าอีกครั้ง
3. เพิ่มน้ำหนัก K-GHEALTH จากเดิม 5% เป็น 10 % เนื่องจากเป็น defensive sector หากเกิดเศรษฐกิจชะลอตัวจะเป็น sector ที่ยังให้ผลตอบแทนที่ดี
4. เพิ่มน้ำหนัก K-FIXEDPLUS เป็น 12%
ที่มา: บลจ. กสิกรไทย วันที่ได้รับเอกสาร: วันที่ 3 มีนาคม 2025
ที่มา: บลจ. กสิกรไทย วันที่ได้รับเอกสาร: วันที่ 3 มีนาคม 2025
สำหรับลูกค้าที่ลงทุนใน KAsset Global Perspective Portfolio สามารถดูพอร์ตการลงทุนได้ตามช่องทางนี้
ผ่านมือถือ/Tablet >> แอปฯ Finnomena
ผ่านคอมพิวเตอร์ >> เว็บไซต์ Finnomena สำหรับลูกค้าที่สนใจลงทุนใน KAsset Global Perspective Portfolio คลิกที่นี่เพื่อสร้างแผนการลงทุน
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด มหาชน หรือ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299 | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
*ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนรวมที่เสนอขายผู้ลงทุนสถานบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน
จัดทำโดยบลป.เดฟินิท (Definit) สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
สามารถเข้าถึงรายละเอียดกองทุนต่าง ๆ และ Fund Fact Sheet ได้จาก Link บนชื่อกองทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299
อยากมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง? ลองท้าทายตัวเอง 21 วัน เปลี่ยนชีวิตการเงินของคุณให้ดีขึ้นได้! กับ 21 Days Financial Challenge ที่จะมาช่วยสร้างวินัยทางการเงิน พร้อมเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายในเวลาสั้น ๆ
FinSpace
ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/finspace.co/posts/pfbid02KRZmj37NBHptzmsu3eEjNdbeEEE8sSMpUfU2xtKnLfDTcnarAVM46A7yq27SoQGMl
โปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ลงทุนในกองทุน ONE-UGG-RA, ONE-GLOBFIN-RA และ ONE-SETHD
ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2568
บลจ.วรรณ : ส่งโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ลงทุนในกองทุน ONE-UGG-RA, ONE-GLOBFIN-RA และ ONE-SETHD
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT”
บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน ‘JD.com’ รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 11 ไตรมาส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (6 มี.ค.) เนื่องจากแคมเปญส่วนลดมากมาย และเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายปลายปีเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซของจีนอย่าง JD.com และ Alibaba ต่างปรับลดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมถึงโครงการแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภคเก่าเป็นใหม่ และมาตรการส่งเสริมการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่
JD.com คาดว่าในปีนี้การบริโภคจะกลับมาเติบโตจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ และการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า แซนดี้ ซู ซีอีโอ JD.com กล่าว
JD.com รายงานรายได้รวมในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 346.99 พันล้านหยวน (47.91 พันล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 13.4% จากปีก่อน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 332.35 พันล้านหยวน
สำหรับกำไรสุทธิที่จะจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นของ JD.com ในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 9.9 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้นจาก 3.4 พันล้านหยวนในช่วงเดียวกันของปีก่อน
วินซี จาง นักวิเคราะห์จาก M Science กล่าวว่า ผลประกอบการโดยรวมอยู่ในระดับแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เกินคาดส่วนใหญ่มาจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ในบ้าน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินอุดหนุนของรัฐบาล “ดังนั้น เรายังไม่สามารถทราบได้ว่ารายได้ที่เกินคาดโดยรวมเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของตลาดมากน้อยเพียงใด” เขากล่าว
ที่มา: https://www.reuters.com/technology/chinas-jdcom-beats-quarterly-revenue-estimate-2025-03-06/
📌 อ่านคำแนะนำ FundTalk Call เพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/opportunity-hub/investment-call/fundtalk/china-jan-2025
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FinnomenaPort”
“ตลาดหุ้นไทยหมดหวังแล้ว” คำพูดที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) กล่าวตลอดในช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุด ดร.นิเวศน์เผยแผนปรับพอร์ตการลงทุนครั้งใหญ่ โดยตั้งใจลดสัดส่วนหุ้นไทยลงครึ่งหนึ่งและมองหาโอกาสเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นโลก
Finnomena Funds ได้จัดงานสัมมนาพิเศษ “ปรับตัวอย่างไร เมื่อหุ้นไทย เศรษฐกิจไทย ใกล้หมดความหวัง” เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ ได้เปิดเผยถึงการตัดสินใจปรับกลยุทธ์การลงทุนครั้งใหญ่ โดยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยจากกว่า 60% เหลือเพียง 30% และหันไปมองหาการลงทุนในตลาดโลกมากขึ้น
ดร.นิเวศน์เผยว่าต้องการลดสัดส่วนหุ้นไทยลงเหลือเพียง 30% จากปัจจุบันมากกว่า 60% หรือประมาณ 2 ใน 3 ของพอร์ต โดยสัดส่วนหุ้นไทยที่หายไป ดร.นิเวศน์ระบุว่ากำลังมองหาโอกาสกระจายเงินลงทุนไปที่ตลาดโลกอีก 1 ใน 3
ผมมีเงินสดเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของผม แต่ก็ยังไม่เยอะ 7-8% ที่มาจากปันผลบ้าง ทยอยขายหุ้นตัวเล็กตัวน้อยบ้าง… รอบแรกก็เอาเงินสด 7-8% ไปลงทุนก่อน
ดร.นิเวศน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนในตลาดโลกของดร.นิเวศน์ยังต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองโลกหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ผมจะไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เผอิญว่าทรัมป์เขาชนะการเลือกตั้ง เราก็เลยรอดีกว่า… ถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ได้ว่าเอฟเฟกต์ของทรัมป์จะเป็นยังไง ก็รอไปก่อนอีกสัก 2-3 เดือน
ตำนาน VI ไทยระบุ
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ดร.นิเวศน์เลือกที่จะลงทุนผ่าน DR (Depositary Receipt) แทนการลงทุนโดยตรง ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาภาษีจากการลงทุนในต่างประเทศ
ลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศมันมีปัญหาเรื่องเสียภาษีอยู่แล้ว คุณขายเมื่อไรเอากลับมาก็ต้องเสียภาษี… เราต้องเอาเป็นพวก DR หรือว่ากองทุนที่จดทะเบียนในไทย
ดร.นิเวศน์อธิบาย
ดร.นิเวศน์ยังเสริมอีกว่า “สิ่งสำคัญคือต้องไม่เสียภาษี ถ้าไปลงทุนโดยตรงแล้วเสียภาษีเนี่ยยังไงก็ไม่คุ้ม…ปัจจุบันตลาด DR ในไทยพัฒนาไปไกลมาก ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นรายตัวมากขึ้น”
นอกจากนี้ ดร.นิเวศน์ยังกล่าวถึงการเลือกหุ้นต่างประเทศอย่างระมัดระวัง โดยมองหาบริษัทที่เป็น “ตัวท็อป” ของตลาดและมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว โดยยกตัวอย่าง LVMH เป็นหนึ่งในหุ้นที่สนใจ
แม้จะมองภาพรวมหุ้นไทยในแง่ลบ แต่ดร.นิเวศน์ยังเชื่อว่ามีหุ้นบางกลุ่มที่ยังมีอนาคต เช่น กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนจากปันผลที่สูง
แบงก์ใหญ่ ๆ มีอยู่ 4-5 แบงก์ใหญ่ ถือว่าเป็นธุรกิจกึ่ง ๆ ผูกขาด ไม่มีใครมาทำลายได้ ไม่ต้องลดมาร์จิ้นแข่งกัน แล้ว P/E ก็ต่ำกว่า 10 เท่า ปันผลก็ขึ้นมา 5-6%
ดร.นิเวศน์กล่าว
นอกจากนี้ ดร.นิเวศน์ยังแนะนำนักลงทุนที่ไม่มีเวลาและประสบการณ์ในการเลือกหุ้นเอง ให้ลงทุนในกองทุนรวม โดยเน้นการเลือกธีมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เช่น กองทุนหุ้นกลุ่มไฮเทค
ต้องตัดสินใจเด็ดขาด และผมคิดว่าจำเป็นต้องไป (ลงทุนต่างประเทศ) เพราะตอนนี้อาเซียนโตกัน 5-6% มีไทยกับพม่าที่โตแค่ 2-3%
ดร.นิเวศน์กล่าวทิ้งท้าย
พอร์ตแนวคิด Contrarian เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ศักยภาพสูงช่วงราคาอ่อนตัว พร้อมวินัยบริหารความเสี่ยงเข้มข้น
นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Finnomena เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนของพอร์ต Dynamic Contrarian Model (DCM) ว่าเน้นแนวคิดแบบ Contrarian หรือการเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลง โดยสินทรัพย์ที่จะเข้าซื้อจะต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ราคาในระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง หรือปรับตัวขึ้นน้อยกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ และมี Valuation ในระดับที่ถูก
Dynamic Contrarian Model ก็คือการลงทุนสไตล์ ย่อ-ซื้อ ขึ้น-ขาย เรามองหาสิ่งที่เราเชื่อว่ามีพื้นฐาน มีแนวโน้มที่ดี แต่ว่าอดทนรอแล้วซื้อในจังหวะที่คนไม่ได้สนใจ
นายเจษฎากล่าว
พร้อมเสริมว่าพอร์ตจะเข้าขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้น หรือ Valuation มีการตึงตัว และจะตัดขาดทุนเมื่อเห็นว่าภาพรวมของสินทรัพย์นั้น ๆ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ยาก
สำหรับตัวอย่างผลงานสไตล์ Contrarian ในพอร์ต DCM นายเจษฎายกตัวอย่างการเข้าซื้อหุ้นยุโรปในช่วงต้นปี 2024 และขายทำกำไรเมื่อ ECB ลดดอกเบี้ยครั้งแรก
Source: Finnomena Funds as of 27/02/2025
*คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
การเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงเกิดเหตุการณ์ Black Monday และขายทำกำไรก่อนการประชุม FED
Source: Finnomena Funds as of 27/02/2025
*คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
รวมถึงเข้าซื้อหุ้นจีนตั้งแต่ก่อนเกิดกระแส AI จีนหลังการเปิดตัวของ DeepSeek
Source: Finnomena Funds as of 27/02/2025
*คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
“ปัญหาที่นักลงทุนเจอก็คือ ปรับเปลี่ยนพอร์ตตามสถานการณ์ไม่ทัน หาจังหวะเริ่มลงทุนไม่ได้สักที กำหนดสัดส่วนเงินลงทุนค่อนข้างยาก อยากลงทุนแต่ไม่มีเวลาติดตามตลาด หรือว่าลงทุนแล้วไม่กล้าที่จะตัดขาดทุน เพราะฉะนั้นตัว Dynamic Contrarian Model ถูกสร้างมาให้ตอบโจทย์นั้น” นายเจษฎากล่าวทิ้งท้าย
สามารถลงทะเบียนเพื่อลงทุนในพอร์ต Dynamic Contrarian Model (DCM) หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.finnomena.com/dcm/
ข้อมูลติดต่อ: ฝ่ายสื่อสารการตลาด Finnomena
มะลิลา ใจพันธ์ โทร. 089-874-8982 Email: nim.malila@finbroadcasting.com
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ข้อมูลและการคาดการ์ที่ปรากฎในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00 -17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @Finnomenaport
จาก คำแนะนำปรับพอร์ตเดือนกรกฏาคม 2024: ขายหุ้นยุโรป ซื้อทองคำ พร้อมปรับสัดส่วนตราสารหนี้ ราคาทองคำในสกุลเงินบาท (XAU/THB) ปรับตัวขึ้นมากกว่า 10.5% ส่งผลให้ผลตอบแทน NAV ของกองทุน KT-GOLDUH-A ระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 – 3 มีนาคม 2568 เพิ่มขึ้นประมาณ 10.4%
แม้ว่าทองคำยังมีแนวโน้มที่น่าสนใจในระยะยาว จากแรงซื้อของธนาคารกลางและ ETFs แต่ Finnomena Fund มองว่าการย่อตัวของราคาทองคำเกิดจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นหลังราคาขึ้นไปทดสอบ All-Time High ดังนั้น จึงแนะนำ Take Profit ในระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากแรงขายที่อาจเพิ่มขึ้น
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 03/03/2025
เราได้ปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นยุโรปจาก Slightly Underweight เป็น Slightly Overweight โดยเรามองว่าเศรษฐกิจยุโรปได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ปัจจัยกดดันสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายภาษีของทรัมป์ ได้ถูกสะท้อนอยู่ในตัวเลขเศรษฐกิจและดัชนีตลาดแล้ว
Source: Finnomena Funds, Bloomberg as of 03/03/2025
ในระยะข้างหน้า ยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการปฏิรูปกฎระเบียบด้านการกู้ยืม (debt break) ของเยอรมนี ประกอบกับการที่หลายประเทศกลับมามีงบดุลที่แข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ ECB ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
Finnomena Funds จึงมีคำแนะนำเพิ่มสัดส่วนหุ้นยุโรป ผ่านกองทุน ONE-EUROEQ ในพอร์ต GAR
Source: one-asset.com as of 03/03/2025
จัดทำโดยบลป. เดฟินิท สำหรับบลน. ฟินโนมีนา (Finnomena Funds)
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | คำแนะนำการลงทุนนี้เป็นไปตามกรอบการพิจารณาของ Finnomena Funds ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะเวลาตามแต่ละประเภทของพอร์ตเท่านั้น บริษัทมิได้การันตีถึงผลตอบแทนที่จะได้จากคำแนะนำการลงทุนดังกล่าว มีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือมีผลขาดทุนได้ | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FINNOMENAPORT | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299